ในช่วงหนึ่งปีกว่าๆ ที่ผ่านมา สำหรับผู้ที่ใช้รถส่วนตัวแล้ว ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสันต์กันเลยทีเดียว เพราะว่าราคาน้ำมันในประเทศ ค่อยๆ ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละเกือบ 40 บาท เหลือเพียง 20 บาทเท่านั้น เรียกว่าสบายกระเป๋ากันขึ้นเยอะ
และเมื่อน้ำมันลด หลายท่านสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมของที่เคยมีราคาแพงอยู่ดีๆ ก็ปรับราคาลงมาอย่างรวดเร็วที่เพียงนี้
บางคนบอกเพราะพิษเศรษฐกิจโลกซบเซา บางคนก็บอกว่าเพราะตุ๊กตาลูกเทพ (?) บางคนก็บอกเพราะว่าลุงตู่ (?!?!) แล้วสาเหตุที่แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่ เราไปติดตามชมกันเลยดีกว่า
เหตุการณ์นี้เราต้องเริ่มที่สาเหตุแรกเลยคือ วิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป หลังจากการล้มละลายของประเทศกรีซ ทำให้เศรษฐกิจในยุโรปประสบปัญหาอย่างหนัก รวมถึงภาวะฟองสบู่ที่เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ทั้งสองอย่างได้ส่งผลไปเศรษฐกิจทั่วโลก
แน่นอน เมื่อเศรษฐกิจถดถอย ความต้องการใช้น้ำมันก็ต้องลดลง เมื่อความต้องการน้อยลง สิ่งที่ผู้ผลิตควรทำคืออะไร? ใช่แล้ว มันคือลดการผลิตลง เพื่อให้สินค้าที่ออกมามีปริมาณพอใช้ ไม่ล้นตลาดเกินไปจนน้ำมันราคาตก
แล้วกลุ่ม OPEC ที่เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ได้ลดกำลังการผลิตน้ำมันลงรึเปล่า….?
คำตอบคือไม่ เพราะการมาของหินน้ำมันหรือ Shale Oil ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจน้ำมันแบบดั้งเดิมของกลุ่ม OPEC ซึ่งถ้าพวกเขาลดกำลังการผลิตลง แปลว่าประเทศที่ส่งออกน้ำมันที่ผลิตจาก Shale Oil ก็จะมาแย่งลูกค้าของพวกเขาไป….
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเริ่มสงสัยแล้วสิว่าใคร Shale Oil ได้มากที่สุดตอนนี้...สหรัฐอเมริกาไงล่ะ
ทางกลุ่ม OPEC เห็นว่าถ้าปล่อยให้เจ้า Shale Oil เข้ามาแย่งลูกค้าไปได้เนี่ย อนาคตพวกเขาคงอยู่ยากกันแน่ๆ พวกเขาเลยไม่ลดการผลิตน้ำมันลง กะว่าจะฆ่าไอ้เจ้า Shale Oil ให้ตายคามือเลยล่ะ
เพราะหากดูจากต้นทุนการผลิตแล้ว Shale Oil ใช้ต้นทุนการผลิตสูงถึงบาร์เรลละ 40 – 60 เหรียญสหรัฐ ขณะที่น้ำมันแบบดั้งเดิม มีต้นทุนแค่บาร์เรลละ 10 เหรียญเท่านั้น
ฉะนั้นต่อให้น้ำมันโลกลดลงมาเหลือแค่ 30 เหรียญต่อบาร์เรล (ปัจจุบันอยู่ที่ 34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) พวกตรูก็ยังได้กำไร แต่พวกเอ็งน่ะ ทำไปก็ขาดทุน มีแต่เจ๊งกับเจ๊งเท่านั้น
แต่ถามว่าสหรัฐยอมแพ้ง่ายๆ เหรอ ต้องบอกว่าทาง OPEC ประเมินสายป่านของบริษัทน้ำมันในสหรัฐต่ำไป เพราะแค่นี้พวกเขายังสามารถทนรับไหว (แต่จะนานมั้ยไม่รู้นะ)
โชคดีที่เทคโนโลยีการขุด Shale Oil พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้นทุนต่ำลงเรื่อยๆ ซึ่งคาดว่าอีกไม่นาน ต่อให้ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 30-60 เหรียญ พวกเขาก็ยังได้กำไรนั่นเอง
การทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ส่งผลดีต่อชาติ OPEC เลย เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่า ประเทศเศรษฐีน้ำมันทั้งหลายนั้น เลี้ยงดูประชาชนของพวกเขาดีมาก (จนบางทีก็ดีเกินไป) ซึ่งถ้าหากพวกเขาขายน้ำมันได้กำไรน้อยๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็อาจทำให้ประเทศล้มละลายได้เช่นกัน
อีกคนถามที่หลายคนสงสัยคือ น้ำมันกำลังจะหมดโลกในอีก 50 ปีข้างหน้าจริงหรือไม่?
คำตอบคือจริง ถ้าเรานับจากแหล่งน้ำมันดิบแบบดั้งเดิม แต่หลังจากมนุษย์สามารถนำ Shale Oil มาใช้ได้ มีการประมาณการไว้ว่า เราจะมีแหล่งน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้นอีก เกือบ 5 เท่าตัวเลยทีเดียว
แปลว่าถ้าเราใช้น้ำมันด้วยระดับในทุกวันนี้ เราจะมีน้ำมันใช้ไปอีกยาวๆ อย่างน้อยๆ 200 ปีเลยล่ะจ้า แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราจะใช้สุรุ่ยสุร่ายได้ไม่จำกัดนะจ๊ะ เพราะยังไงเราก็ควรลดการใช้พลังงานอยู่ดี
อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจสถานการณ์น้ำมันของโลกมากขึ้น ไม่มากก็น้อย ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า น้ำมันลดราคาลง แล้วทำไมราคาข้าวของในประเทศเราไม่เห็นลดราคาบ้าง
นี่คงต้องไปสอบถามกับผู้ให้บริการเอาเองนะเหมียวว่าทำไมไม่ลด โดยเฉพาะเจ๊เกียว ใครได้คำตอบแล้วเอามาบอกเหมียวบ้างนะ ฮาาา
ที่มา Wikipedia, ostseis