เรื่องจริงจากหนัง Saving Private Ryan !!!

https://www.facebook.com/groups/worldwar2fanclub/permalink/816746988453374/?__mref=message_bubble

 

เรื่องจริงจากหนัง Saving Private Ryan !!!

เชื่อว่าสมาชิกผู้ทรงภูมิเกินครึ่งในที่นี้ ได้เคยชมภาพยนตร์เรื่องSaving Private Ryan ฝ่าสมรภูมินรกมาแล้ว ซึ่งเป็นภาพยนตร์ระดับตำนานที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องไรอัน 4 คน ซึ่งเป็นทหารด้วยกันทั้งหมด แต่น้องคนสุดท้องนั้นกลับถูกตามหาในแนวหลังข้าศึกโดยทีมของร้อยเอกมิลเลอร์ เพราะพี่ชายทั้งสามคนเสียชีวิตหมดแล้ว ซึ่งถูกรังสรรค์โดยพ่อมดแห่งฮอลลิวูด สตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นผลงานที่ไม่มีวันตายโดยแท้จริง

 

แต่หลายท่านอาจยังไม่เคยรู้ว่า เหตุการณ์ในภาพยนตร์นั้นได้รับแรงบัลดาลใจจากเรื่องจริงของ4 พี่น้องชาวไอริชจากนิวยอค นั่นคือพี่น้องตะกูลนิแลนด์ ซึ่งประกอบด้วย 1.) สิบเอกด้านเทคนิค เอ็ดเวริด นิแลนด์ ผู้เป็นพี่ชายคนโต เขาประจำการอยู่ในกองทัพอากาศ ฝูงบินที่434 แห่งกองทัพบกสหรัฐ ซึ่งเป็นลูกเรือเครื่องB-25 ปฏิบัติหน้าที่ในพม่า 2.) ร้อยตรีเพิสตัน นิแลนด์ พี่ชายคนรอง ประจำการอยู่ในกรมทหารราบที่ 22 แห่งกองพลทหารราบที่ 4 3.) สิบเอกโรเบิร์ต บ๊อบ นิแลนด์ ประจำการอยู่ในกรมพลร่มที่ 505 แห่งกองพลพลร่มที่ 82 และคนสุดท้าย 4.) ฟริดิกค์ (ฟริทซ์) นิแลนด์ สิบเอกประจำการกองร้อยH ของกรมพลร่มที่ 501 แห่งกองพลพลร่มที่ 101ในตำนานนั่นเอง นอกจากนี้ ฟริทซ์ยังเป็นเพื่อนคนสนิทของโดนัล มาลาคีย์ และสคิป มัค อีกด้วย (คุ้นๆแล้วใช่มั้ย อีโมติคอน pacman ใช่แล้ว ตัวละครหลักของซีรีย์ BOBนั่นเอง)

 

ซึ่งพี่น้อง 3 คนหลัง ทั้งฟริทซ์ บ๊อบ และเพิสตัน ต่างร่วมปฎิบัติการโอเวอร์ลอร์ดพร้อมกันในวันที่ 6 มิถุนายน 1944 ส่วนเอ็ดเวริด พี่คนโต ถูกยิงตกในพม่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาแล้ว โดยไม่รู้ถึงชะตากรรม โดยพี่คนรอง เพิสตัน ถูกฆ่าในวันที่ 7 มิถุนายน 1944 รอบๆหาดยูทาร์ ส่วนบ๊อบ ถูกฆ่าในการรบที่ Neuville-au-Plain ในวันที่ 6 มิถุนายน ส่วนฟริทซ์ ยังคงรบต่อไปอีกหลายวันหลังจากD-DAY จนเขาไปพบเข้ากับกองพลที่ 82 จึงคิดจะไปหาพี่ชาย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงอันแสนปวดร้าวว่า บ๊อบกับเพิสตันถูกฆ่าไปเมื่อหลายวันก่อนแล้วทางกองทัพสหรัฐรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว จึงส่งฟริทซ์กลับไปยังอังกฤษ เพื่อให้เป็นบุตรชายแม้จะคนเดียวก็ตามในครอบครัวนิแลนด์ แต่เขาก็ยังคงรับราชการต่อไป

 

ในฐานะสารวัตรทหารในอังกฤษ และถูกส่งกลับไปยังบ้านของตนที่นิวยอค จนกระทั่งจบสงคราม และได้รับเหรียญบรอนซ์สตาร์ ในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ฟริทซ์ก็ได้รับข่าวดี ว่าพี่ชายคนโต เอ็ดเวริดยังไม่ตาย หลังจากเขาโดดร่มลงในป่าในพม่าจนถูกทหารญี่ปุ่นจับเป็นเชลยในญี่ปุ่น จนเขาได้รับอิสรภาพในวันที่4 เดือนพฤษภาคม 1945 และกลับไปยังนิวยอคเพื่อไปพบกับน้องชายและครอบครัวของเขา ฟริทซ์ เสียชีวิตอย่างสงบในปี 1983 ในวัย 63 ปี ที่ซรานฟานซิสโก ตามด้วยเอ็ดเวริด ในปีถัดมาในวัย 72 ปี เรื่องราวของพี่น้อง 4 คนนี้น่าจะจบตั้งแต่จุดนั้น จนกระทั่งสตีเวน สปีลเบิร์ก นำเรื่องราวของทั้ง 4 มาดัดแปลงให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ในเรื่อง Saving Private Ryan โดยนำนักแสดง อย่างแมท เดม่อน มาแสดงเป็น เจม ไรอัน ตัวละครผู้สวมบทเป็นฟริทซ์นั่นเอง ซึ่งบทบาทนี้ ทำให้แมทโด่งดังเป็นพลุแตกในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย

(ผู้กำกับสตีเวน และนักแสดงนำ ทอม แฮงค์ มาเยี่ยมหลุมศพของทั้งสองในปี 1998 พร้อมกับลูกหลานตระกูลนิแลนด์)

ที่มา  : คุณ IFirst Peerapong จากกลุ่มชมรมผู้ศึกษาสงครามและอารยธรรม War and Civilization


https://www.facebook.com/groups/worldwar2fanclub/permalink/816746988453374/?__mref=message_bubble

12 ก.พ. 59 เวลา 02:45 5,448 10
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...