สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนคนปัจจุบัน ชายที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งของโลก เขาเป็นคนพูดน้อย ดูใจดี แต่ก็เก่งกาจและเข้มแข็ง นั่นเพราะเคยเผชิญกับเรื่องราวในวัยเยาว์ที่สุดแสนรันทดกว่าจะได้ก้าวมาอยู่ในจุดสูงสุดอย่างทุกวันนี้
ชีวิตของเขานอกจากจะน่าสนใจในฐานะผู้นำของประเทศที่เรียกได้ว่ามีอำนาจมากที่สุดประเทศหนึ่งแล้ว ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังประสบกับความยากลำบากในชีวิตได้เป็นอย่างดี จนหนังสือพิมพ์ The New York Times ต้องนำเรื่องราวสุดโหดร้ายในวัยเยาว์ของประธานาธิบดีแห่งแดนมังกรคนนี้มาตีพิมพ์
สี จิ้นผิง เป็นบุตรชายของ สี จงชุน อดีตรองนายกรัฐมนตรีผู้ใกล้ชิดกับประธาน เหมา เจ๋อตง ผู้นำแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เดิมทีชีวิตของครอบครัวสีนั้นสะดวกสบายและมั่งคั่ง จนกระทั่งทุกอย่างได้พลิกผันจากหน้ามือกลายเป็นหลังมือ
ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม สี จงชุน ได้อนุญาตให้มีการตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งในปี 1962 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์ เหมา เจ๋อตง ประธานแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก และได้ลดฐานะของ สี จงชุน ให้เป็นกรรมกรที่ถูกขับไล่ไปทำงานในโรงงาน
ห้าปีต่อมา สี จงชุน ถูกกล่าวหาว่าได้ทำการสอดแนมในกำแพงเบอร์ลินระหว่างที่เขาไปเยือนเยอรมันตะวันออก เหตุการณ์ต่างๆ ในครอบครัวของพวกเขาเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม
สี จิ้นผิง เองก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นสมาชิกของ “แก๊งดำ” เนื่องจากประวัติที่เลวร้ายของพ่อ และโรงเรียนที่เขาศึกษาอยู่ก็ถูกปกครองด้วยอำนาจของกลุ่มปฏิวัติวัฒนธรรม
เพื่อนร่วมชั้นกล่าวว่าตัวเขาเองและ สี จิ้นผิง คือเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกมากที่สุดในชั้นเรียน พี่สาวของ สี จิ้นผิง ก็ถูก “กลั่นแกล้งจนถึงตาย” หลายคนเชื่อว่าเธออาจถูกรังแกจนทนไม่ไหวต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด
เขาถูกส่งไปยังเขตเหลียงเจี่ยเหอ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่ริเริ่มโดยเหมาเจ๋อตุง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่เยาวชนที่อาศัยอยู่ในเมืองระหว่างช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมที่โกลาหล สี จิ้นผิง กลายเป็นหนึ่งใน 29,000 ปัญญาชนชุดแรกที่ถูกกวาดต้อนไปใช้ชีวิตเรียนรู้การทำไร่ทำนาและปศุสัตว์
เขามีความมุ่งมั่นที่จะเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาก สี จิ้นผิง ได้เขียนจดหมายสมัครเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งแล้วครั้งเล่า บางคนว่ากันว่าเขาส่งจดหมายไปถึง 9 ครั้ง แต่ถูกปฏิเสธมาตลอด จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเขาก็ทำมันได้สำเร็จ
ต่อมาในปี 1972 ครอบครัวก็ได้พบกันอีกครั้ง พ่อของพวกเขาที่ถูกทรมานอย่างโหดร้ายมาตลอดหลายปีนั้นอาการสาหัสจนถึงขั้นจำลูกตัวเองไม่ได้ สี จงชุน เรียกชื่อลูกๆ แบบผิดๆ ถูกๆ แต่สิ่งที่เชื่อมโยงความผูกพันของพวกเขาเข้าด้วยกันคือบุหรี่อันเล็กๆ
หนังสือพิมพ์ The Times ได้บรรยายไว้ว่า
บิดาผู้ถูกทารุณกรรมและเนรเทศไปใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลานานหลายปีนั้น “มองไปที่ลูกชายที่เติบใหญ่ และไม่สามารถจำหน้าพวกเขาได้เลย” จากการสัมภาษณ์ สี จิ้นผิง ตอนนั้นบิดาของเขาร่ำไห้ แล้วตัดสินใจยื่นบุหรี่ให้
“เขาถามผมว่า ‘ทำไมลูกถึงสูบบุหรี่เหมือนกันล่ะ’ และผมก็ตอบว่า ‘เพราะผมเครียด เราก้าวผ่านความยากลำบากด้วยการพึ่งมัน’ เขาเงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า ‘พ่ออนุญาตให้ลูกสูบบุหรี่ได้'”
หลังจากนั้นเมื่อชื่อเสียงของบิดาได้รับการฟื้นฟูภายหลังการอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตง เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเล่าเรียนจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาและเริ่มมีสายสัมพันธ์กับบุคคลในกองทัพ
ต่อมาโลกก็ได้รู้จักกับผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่าง “สี จิ้นผิง”
จากบทสัมภาษณ์ของเขาในหนังสือพิมพ์ Chinese Times ปี 2000 เขากล่าวว่าเขาเข้าใจอำนาจทางการเมืองเป็นอย่างดี
“คนที่มีประสบการณ์น้อยนิดเกี่ยวกับอำนาจ คนที่อยู่ห่างไกลจากมัน มักมีแนวโน้มที่จะยกย่องและเชิดชูมันเสมือนเป็นสิ่งลึกลับหรือวรรณกรรม”
“แต่ผมมองข้ามลักษณะภายนอกของมัน พลังอำนาจ ดอกไม้ เกียรติยศ และการสรรเสริญ ผมมองเห็นการกักขังหน่วงเหนี่ยวและความแปรผันของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ผมเข้าใจ ‘การเมือง’ ในระดับที่ลึกกว่านั้น”
ที่มา: BusinessInsider, ภาพจาก: blouinnews, nytimes