คำตอบคือ
เพราะรัฐบาลเกาหลีใต้ อุดหนุนอุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์เต็มที่
ดังนั้นที่ประเทศเกาหลีใต้ จึงมีการวิจัย และการผลิตเครื่องสำอางค์ที่ก้าวหน้า และมีแนวทางที่ชัดเจนในการส่งออกไปทั่วโลก โดยจากการวิเคราะห์คู่แข่งในตลาดโลก เช่น แบรนด์จากยุโรป ญี่ปุ่น และอเมริกา ที่มีราคาสูงและคุณภาพน่าเชื่อถือ หรือเทียบกับแบรนด์ตามท้องถิ่น ที่มีราคาต่ และคุณภาพต่ำ รัฐบาลเกาหลีใต้จึงรู้ดีว่า ช่องว่างทางการตลาดยังมีอยู่ นั้นคือการผลิตเครื่องสำอางค์มี่มีคุณภาพสูง แต่ราคาปานกลาง (ถูกและดี) นั่นเอง โดยการสนับสนุนงบประมาณ การวิจัยจำนวนมากเพื่อให่อุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ก้าวหน้าไป และขายได้ไปทั่วโลก
เกาหลี หลังยุคสร้างตัว
เกาหลีเป็นประเทศที่ไม่ได้มีทรัพยกรอะไร หนาวเย็น มีแต่ภูเขา มีสงครามค้างอยู่หน้าประตูบ้าน , พวกเขาก็อปปี้เทคโนโลยีจนตั้งตัวได้ พวกเขาขายทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว พอเริ่มรวย ก็เริ่มมองโลกในแง่ดี และมันก็จะตามมาด้วยการลดความขยันลง จนดูน่าเป็นห่วง
จนในที่สุดหลังจาก"วิกฤตโรคระบาดทางการเงินแห่งเอเชีย"ในปี 1997 (2540) หรือที่เรียกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง อันมีจุดกำเนิดที่ประเทศไทย , เกาหลีก็กลับมาสะดุ้งโหยงอีกครั้ง , วิกฤตนี้กระทบถึงเกาหลีด้วย แต่เกาหลีแก้ได้ในเวลา 18 เดือน (ของไทยใช้เวลา 5 ปี)
... เกาหลีในช่วงปลายรัฐบาลคิม ยังซัม ก้เริ่มคิดถึง"การขายวัฒนธรรม" , เป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่นะ มันคือการทำให้"ประเทศเป็นแบรนด์" เหมือนเวลาเรานึกถึง อิตาลี=แฟชั่น ฝรั่งเศส=ของหรู เยอรมัน=คุณภาพ อเมริกา = ทันสมัย , ญี่ปุ่น= ใช้งานได้รอบด้าน+คุ้มค่า ฯลฯ
++
การขายวัฒนธรรมนั้น เป็นทั้งการทำเงินและการประกาศศักดาของชาติออกไป , โลกจะรู้จักเรา สนใจเรา เข้าหาเรา หลงใหลเรา และจ่ายให้เรา , เป็นคอนเซปต์ที่ได้ประโยชน์หลายต่อมากๆ , ที่น่าทึ่งคือ เกาหลีนั้นจริงๆไม่มีอะไรเลย อาหารก็งั้นๆ สู้ญี่ปุ่นหรืจีนก็ไม่ได้ มีดีหน่อคือโสม และผักดอง(ดีหรือ ?) หน้าตาเหรอก็งั้นๆ เหมือนๆกันทั้งประเทศ สถานที่ท่องเที่ยวเหรอ ก็งั้นๆ มีแต่ภูเขา ทะเลก็ห่วยแตก หนาวก็หนาว (แต่อันนี้ขายคนเมืองร้อนได้) ...
แต่เกาหลีคิดเป็น ในเมื่อเราไม่มีอะไรดี งั้นเริ่มเลย ด้วย"วงการมายา" พวกเขาวาดภาพนิสัยของคนเกาหลีเสียใหม่ เอาให้โรแมนติก หรือไม่ก็มีสีสัน ที่สำคัญคือรัฐบาลให้ทุน รัฐกล้าลงทุนให้ งบเยอะ จ้างคนเก่งๆ จ้างช่างเก่งๆ จนในที่สุดก็ได้ซี่รีย์เรื่องที่โด่งดัง ชื่อ " Winter Sonata " นำแสดงโดยเบ ยอง จุน (คนนี้ผมทัน) ขายไดทั้งญี่ปุ่น จีน อาเซียน ดังระเบิดเลย , ตัวหนังก็ขายสถานที่ท่องเที่ยวด้วย , ต่อมาก็ทำอีก ขายประวัติศาสตร์และอาหาร ผ่านซีรีย์แด จัง กึม และอีกร้อยๆเรื่องตามมา
เพลง-เครื่องสำอางค์-ศัลยกรรม
วงการมายาทั้งหนังไม่พอ ต้องเพลงด้วย ทั้งร้อง เต้น ล้วนมีการวิจัยตลาดอย่างดี , เริ่มขายเอเชีย ต้องเน้นวัยรุ่นหน้าตาบ้องแบ้ว วัยกระเต๊าะๆ ออกมาสารพัดวง ดูดเงินได้มหาศาล ได้ทั้งหน้า ได้ทั้งเงิน โห ได้หลายต่อเลย , พอคนชอบหน้าตาเกาหลี ก็ต่อเลย ทำเครื่องสำอางค์ครับ , เริ่มในปี 2000 ช่วงรัฐบาล คิม แดจุง , ลองนึกดูนะครับ เครื่องสำอางต์เจ้าตลาดคือของพวกยุโรป สะสมชื่อเสียงมานาน
เขาขายกันมาเกือบร้อยปี เกาหลีโผล่มาสู้ ด้วยการวางคอร์โพดักส์ "ถูกและดี เน้นกลุ่มวัยรุ่น" และก็ทำได้เข้าเป้าอีกตามเคย ... หลังจากนั้นอะไรๆก็เกาหลี Psy กลายเป็นคลิ๊ปที่คนดูมากที่สุดในโลกในปี 2012 มือถือซัมซุงเป็นมือถือที่คนใช้มากที่สุดในโลก ...
ต้องบอกว่าประเทศเกาหลี มีการพัฒนาที่น่าสนใจจริงๆ
ที่มา:http://eyesislove.blogspot.com/2016/02/blog-post_9.html
http://eyesislove.blogspot.com