ถ้าเราจะถามว่าหนึ่งในสถานที่ที่คนไม่อยากไปมากที่สุดนั้นมีที่ไหนบ้างให้ยกมา 10 อย่าง หนึ่งในนั้นจะต้องมีคุกแน่นอน
คุกต่างชาติไว้ผมพูดถึงคราวหน้า แต่ตอนนี้เรามามองใกล้ๆ ตัวก่อนนั้นคือคุกไทย
พูด ถึง คุกไทยนั้น มันเป็นสถานทีลึกลับอย่างหนึ่งก็ว่าได้ เรามักผ่านหน้าคุกหรือเรือนจำประจำจังหวัดเราอยู่บ่อยๆ ใช่เปล่าละ แต่เราไม่มีโอกาสจะเดินเข้าไป แล้วบอกผู้คุมว่า “ขอเดินทัวร์รอบๆ ในเรือนจำได้เปล่าครับ” ก็ไม่ได้
ดังนั้นส่งที่รู้จากว่าข้างในคุก
นั้นเป็นอย่างไร และมีสิ่งอะไรที่รอเราอยู่นั้นมีเพียงคำบอกเล่าของผู้คุม, ในเว็บต่างๆ ในเน็ต, คนคุก, สารคดีทีวี, หนังสือ หรือประสบการณ์ที่ติดคุกเท่านั้น
ส่วน สภาพคุกไทยนั้นเป็นอย่างไรนั้น ผมก็ไม่สามารถตอบได้เหมือนกัน เพราะไม่เคยไปเห็น ดูแต่ทางเน็ตเท่านั้น แต่นั้นเป็นส่วนดีๆ แต่ส่วนร้ายๆ นั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันดีหรือร้ายกว่าคุกอื่นๆ ในโลกหรือเปล่า เมื่อเทียบกับคุณภาพ
ที่นี้ก็ลองมาฟังคำปากคำของชาวต่างชาติที่มาติดคุกไทยบ้างว่าเป็นอย่างไร......
หนึ่ง ในนั้นคือคำพูดประชดของนาย วิคเตอร์ บูท อดีตสายลับ เคจีบีของรัสเซีย เจ้าของฉายา พ่อค้าแห่งความตาย พ่อค้าอาวุธชื่อก้องโลกชาวรัสเซียที่ถูกคุมขังอยู่ในประเทศไทยระหว่างรอการ พิจารณาคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสหรัฐ เขาพูดถึงคุกไทยว่า
“คุกไทยมันป่าเถื่อนยิ่งกว่าเรือนจำกวนตานาโม”
คุกไทยตามคำบอกเล่าของเดวิด แมคมิลแลน (David Macmillan)
นายเดวิด แมคมิลแลน เป็นอดีตคนคุกต่างชาติ ซึ่งเขาอ้างว่าเขาเคยแหกคุกไทยได้เมื่อเดือน ส.ค. 2539 และหลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นคนมีชื่อเสียง จนมีชื่อในวิกี-พีเดีย (น่าแปลกไม่ยักมีข่าวไทยกล่าวถึงนี้น่า)
http://en.wikipedia.org/wiki/David_McMillan_(smuggler)
นายเดวิด แมคมิลแลน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1956 (พ.ศ. 2499) เขา เกิดในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อมาได้อพยพตามครอบครัวไปอยู่ประเทศออสเตรเลีย มีความสนใจด้านสื่อและการเขียนขีดมาตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี
นายแมคมิลแลน มีประวัติเคย ถูกจับติดคุกมาแล้วในหลายประเทศ แต่อยู่ในเรือนจำได้ ไม่นานก็ถูกปล่อยตัวออกมา
ต่อมานายแมคมิลแลน ถูกจับที่เยาวราช กทม. เมื่อปี 2538 ในข้อหาลักลอบขนยาเสพติดเข้าประเทศ และถูกส่งตัวไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม ก่อน จะแหกคุกออก มาด้วยการตัดลูกกรงห้องขังและใช้บันไดไม้ไผ่พาดปีนกำแพงหนีออกมาได้เมื่อ ก่อนที่จะมีการตัดสินคดีของเขาเพียงสามวัน และใช้หนังสือเดินทางปลอม หนีออกนอกประเทศ ทั้งนี้ และได้กลับมาพำนักอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
หลังจากแหกคุกได้เขาได้เขียนหนังสือชื่อ "เอสเคพ" บรรยายชีวิตในคุกไทยและการหลบหนีออกมาจากเรือนจำที่ได้ ชื่อว่ามีการคุมเข้มที่สุดในไทยว่า สภาพห้องขังในเรือนจำของไทยมีสภาพแออัดเหมือนปลากระป๋อง เพราะนักโทษประมาณ 25 คน ถูกจับรวมอยู่ในห้องเดียวกัน ขณะที่มาตรการควบคุมความปลอดภัยมิได้เข้มงวดมากนัก เพราะผู้คุมและเจ้าหน้าที่ในเรือนจำมีน้อย โดยประเมินว่าเจ้าหน้าที่ 1 คน ต้องรับภาระคอยดูแลนักโทษประมาณ 120 คน
ความ จริง แผนการหลบหนีออกจากเรือนจำของเขามิได้เป็นความลับ เพราะมีการชักชวนนักโทษชาวต่างชาติที่อยู่ในเรือนจำหลบหนีไปด้วยกัน แต่ไม่มีใครเอาด้วย โดยอ้างว่าก่อนหน้านั้นเคยมีนักโทษชาย 5 คน พยายามหลบหนีออกจากเรือนจำ แต่ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ จึงถูกลงโทษอย่างทารุณด้วยการจับขังในตู้ล็อกเกอร์ ที่ถูกนำออกไปตั้งกลางแดดร้อนจัด จนนักโทษ 4 ราย เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ใน เรือนจำกลางคลองเปรม มีขบวนการทุจริตรับสินบน และหาข้าวของต่างๆส่งเข้าไปให้นักโทษในห้องขังตามที่ตกลงกัน โดยนายแมคมิลแลนได้จ่ายเงินเพื่อแลกเปลี่ยนกับเลื่อยตัดโลหะที่ส่งมาในห่อ พัสดุ และใช้เลื่อยดังกล่าวค่อยๆตัดซี่ลูกกรง
การ ที่นายแมคมิลแลนออกมาได้อย่างง่ายดายนั้นเขาบอกว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเรือนจำมักแอบหลับ ในเวลากลางคืน และวันที่ก่อเหตุหลบหนีมีเจ้าหน้าที่ออกตรวจรอบเรือนจำเพียงคนเดียว ช่วยให้การแหกคุกครั้งนั้นประสบความสำเร็จ และในวันที่แหกคุกนั้น นายแมคมิลแลนระบุว่าทุกอย่างดูง่ายดาย เพราะในความ เป็นจริงข้าวของเครื่องใช้ในห้องขังนักโทษ เหมือนเป็นตัวช่วยในการหลบหนีได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะที่นำมาใช้ปีน ผ้าม่านที่ใช้ได้แทนเชือก และเมื่อหลบหนีออกมาภายนอกเรือนจำได้ในเวลาประมาณ 03.30-04.00 น. เขาก็ไปติดต่อขอทำหนังสือเดินทางปลอม ต่อจากนั้นจึงเดินทางออกจากไทยทันที
ปัจจุบัน นายแมคมิลแลน อาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ อย่างถูกกฎหมาย หลังหลบหนีไปยังประเทศต่างๆ และถูกจับกุมหลายครั้ง ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระในเวลาต่อมา กระนั้นนายแมคมิลแลน ก็ยังเป็นบุคคลที่ทางการไทยและออสเตรเลียต้องการตัวอยู่ดี
คุกไทยจากคำบอกเล่าของแฮรี นิโคไลเดส
19 กุมภาพันธ์ 2009 — chapter 11
แฮรี นิโคไลเดสนักเขียนชาวออสเตรเลีย ที่ถูกจำคุกอยู่ในประเทศไทย ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในหนังสือนิยายหนังสือ “Verisimilitude” แม้มันตีพิมพ์ออกมาเพียง 50 และขายได้เพียง 7 เล่ม ซึ่งระหว่างที่ติดคุกไทยนั้นเขาได้เขียนจดหมายให้เล่าให้แอนดรูว์ มาร์แชลฟัง
และนี้คือเนื้อความในจดหมายส่วนหนึ่งของแฮรี
“พวกเราต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าและถูกเรียกนับชื่อในคุก ห้องขังของผมมีขนาดกว้างมากกว่า 4 เมตร และยาว 12 เมตร จุนักโทษได้ 50-60 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย ส่วนใหญ่เป็นฆาตกรและนักข่มขืน ห้องขังมีห้องน้ำเพียง 1 ห้อง ซึ่งเป็นแค่รูที่เจาะลงพื้น แทบไม่มีระบบระบายอากาศ ผมต้องนอนใส่หน้ากากเพื่อป้องกันวัณโรคและปอดบวมซึ่งเป็นโรคที่แพร่หลายใน คุก ผมได้อยู่ในห้องขังมาได้ 5 เดือนตั้งแต่ถูกจับในเดือนกันยายนที่แล้ว
อาหาร เช้าผมดื่มน้ำเต้าหู้และขนมปังกรอบ นักโทษอาบน้ำและโกนหนวดรอบๆรางน้ำที่มีคราบสกปรกลอยฟ่อง น้ำถูกเปลี่ยนอาทิตย์ละครั้ง ต่อมาก็มีการประชุม พวกเราได้ยืนเคารพธงชาติ พวกเราได้ถูกสั่งให้สวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ ผมต้องใช้เวลาในการรวบรวมความคิดเพื่อคิดถึงคนที่ผมรัก
ผู้คุมได้พูดอบรมเป็นเวลานานเป็นภาษาไทย ผมเดาว่าเป็นการพูดถึงมารยาทในการอยู่ร่วมกันในคุก
ผมได้ถูกพาขึ้นไปชั้นบนกับนักโทษต่างชาติคนอื่นๆ เพื่อทำความสะอาดคุกอีกด้านหนึ่ง
หลัง จากนั้นก็เป็นเวลาพักเพียงครู่เดียว ผมใช้เวลาเดินดูรอบๆ แต่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ผมจะต้องพบกับนักโทษที่อ่อนแอกระปลกกะเปลี้ย นั่งอิดโรย เช่นนักโทษที่เป็นวัณโรค ผมรู้สึกถึงความตาย ผมพยายามที่จะใช้เวลาของผมตอบจดหมายที่มีมาหลายฉบับ จดหมายทำให้ผมมีชีวิตอยู่ได้
มีการอนุญาตให้เข้าเยี่ยมพวกเราได้วันละ 30 นาที เว้นวันสุดสัปดาห์และวันหยุด เป็นเรื่องที่ยากที่สุดของผมที่จะกลับไปห้องขังหลังจากหมดเวลาเยี่ยมจากครอบ ครัวหรือเพื่อน ผมต้องร้องไห้เมื่อคิดว่าคนเหล่านั้นต้องเผชิญกับความทุกข์เพียงใด
ถึงเวลาเที่ยงจะมีสัญญาณกระดิ่ง อาหารเที่ยงส่วนใหญ่จะเป็นก้างปลาในน้ำร้อนที่เผ็ดมากกับข้าว ผมได้ลองทานดูและรู้สึกไม่สบาย
ผมไม่อาจจะล้มป่วยได้ แค่ความเครียดจากความคิดนี่ก็เหลือพอแล้ว ดังนั้นครอบครัวผมได้ส่งไก่และสลัดมาให้ผมทุกวัน
มีแมว 20-25 ตัวที่วิ่งไปมาในห้องโถงต่อหน้านักโทษทั้งหลาย นักโทษบางคนเอาบุหรี่ยัดปากแมวทั้งหลายหรือทำในสิ่งที่เล่าออกมาไม่ได้กับแมวเหล่านั้น
ผม ต้องเดินเท้าเปล่าเกือบตลอดวัน ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องการป้องกันความปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเราปีน รั้วลวดหนามที่เดินกระแสไฟไว้ และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นธรรมเนียม แต่พื้นมีเศษก้างปลาเต็มไปหมด ทั้งน้ำลายและอ้วกแมว เท้าของผมจะดำปี๋
ผม ถูกพาไปขึ้นศาลด้วยกุญแจมือและโซ่ตรวน เป็นแบบยุคกลางจริงๆ มันทำให้เรารู้สึกด้อยค่าและทำให้ข้อเท้าเกิดรอยช้ำและมีแผลฉีกขาด มันทำให้คุณรู้สึกว่าคุณได้กระทำความผิด
มีคนพูดว่าแบบนี้ทำให้ใครก็ได้เข้าถึงตัวได้ง่ายในคุก ดังนั้นผมจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
ผมได้พบกับนักโทษที่มีสีสรรบางคน อย่างเช่น วิคเตอร์ เบ้าท์ ผู้ต้องสงสัยคดีนายหน้าขายอาวุธชาวรัสเซีย ไม่หยิ่ง พูดเสียงเบาๆ
วิ คเตอร์ให้กระเทียมผมในวันก่อนหน้า และให้ผมตรวจทานต้นฉบับของประวัติของเขา ผมยังไม่ได้อ่าน หลายๆคนได้ให้ต้นฉบับเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตและคดีของเขา พวกเขาคิดว่าผมคือนักข่าวของบีบีซีกระมัง
บ่าย 4 โมง พวกเราต้องถูกคุมขังไปจนถึง 6 โมงเช้า ที่นอนของผมขนาดกว้าง 1 ฟุต ขนาดยาวเท่าตัวผม ผมไม่สามารถพลิกซ้ายหรือขวาโดยไม่เบียดนักโทษคนอื่น ผมไม่สามารถยืดขาโดยไม่เตะนักโทษคนอื่น
ในวันเฉลิมพระชนมายุ 81 พรรษา ของกษัตริย์ ผมมองเห็นพลุจากที่ไกลลิบๆ นักโทษบางคนร้องให้ และสรรเสริญบุคคลผู้ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่เป็นบิดาแห่งพวกเขาด้วย ผมอาจจะไม่ใช่คนไทย แต่ผมเป็นลูกชาย และผมรู้ว่าความรักที่มีต่อพ่อเป็นอย่างไร ผมร้องขอการอภัยโทษ ผมสวดมนต์ให้กษัตริย์ได้ทรงมองเห็นความทุกข์ทรมานของผม เพื่อผมจะได้ชื่นชมกับพระเกียรติของท่าน
เมื่อผมทานไก่เสร็จ นักโทษไทยคนอื่นขอเศษอาหารที่เหลือจากผม
ไฟ นีออนได้เปิดสว่างทั้งคืน ผมใช้กล่องหนุนหัวนอนหลับ ผมนอนพลิกซ้ายพลิกขวาบนที่นอนบางๆบนพื้นที่แข็ง และนักโทษต่างชาติได้บอกกับผมว่าแล้วมันจะผ่านไป ซึ่งเป็นภาษิตโบราณแต่เป็นเรื่องจริง แต่เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน
แปลและเรียบเรียง: Chapter 11
ปัจจุบัน มีการพระราชทานโทษแฮรี่ นิโคไลด์ส และ เนรเทศกลับออสเตรเลีย หลังถูกประชาคมโลกกดดันหนัก และรัฐบาลออสซี่ล็อบบี้รัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง