ปืนใหญ่กุสตาฟ (Schwerer Gustav) นับได้ว่าเป็นปืนขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยใช้งานมาในสมรภูมิจริง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 800 มม. มีความยาวรวมทั้งชุด 43 เมตร มีน้ำหนักมากถึง 1,344 ตัน ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้รางขนาดพิเศษประกอบเป็นทางเพื่อให้เคลื่อนที่ไปได้ ตัวปืนรองรับกระสุนได้สองแบบคือ กระสุนหัวระเบิดขนาด 10,584 ปอนด์ ระยะยิงไกลสุด 48 กม. และกระสุนเจาะเกราะขนาด 16,540 ปอนด์ ระยะยิงไกลที่สุดกว่า 38 กม.
แรกเริ่มเดิมที ตัวอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เองเป็นผู้สั่งให้สร้างปืนชนิดนี้ขึ้นมาเพื่อจะเอาไว้ใช้โจมตีป้อมชายแดนของฝรั่งเศส โดยหวังว่าหากฝรั่งเศสต้องเจอกับอานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวของปืนชนิดนี้ จะต้องยอมแพ้โดยเร็ว แต่ที่สุดแล้วก็ไม่ได้ใช้งานในครั้งนั้น เนื่องจากความเทอะทะของมัน โดยในการใช้งานแต่ละครั้งต้องใช้ทหารประมาณ 250-500 คนเพื่อประกอบและเซ็ตค่าต่างๆเพื่อให้พร้อมใช้งาน และยังต้องใช้คนประกอบรางมากถึง 2,500 คน เพื่อจะให้มันเคลื่อนที่ไปได้ในแต่ละครั้ง นอกจากนี้ ตัวลำกล้องปืนยังไม่สามารถหันซ้าย-ขวาได้ หากจะหมุนจะต้องทำการประกอบรางให้ตรงทิศและเคลื่อนที่ไปบนราง (ยุ่งยากมาก) ทำให้มันพลาดโอกาสในการโชว์ศักยภาพในสนามรบไปหลายต่อหลายครั้ง
แต่แล้วในเดือนเมษายน 1942 ก็ถึงคราวเจ้ากุสตาฟได้แสดงศักยภาพในศึกที่เมืองเซวัสโตโปลของโซเวียต โดยกุสตาฟได้ทำการยิงไปทั้งหมด 300 นัด (อัตราการยิง 1นัด ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที) โดยมีกระสุดนัดหนึ่งสามารถเจาะไปถึงคลังแสงเก็บกระสุนปืนใหญ่ ซึ่งอยู่ใต้ฐานทัพเซเวมายา ลึกลงไปใต้ดินถึง 100 ฟุต ส่งผลให้ฐานทัพระเบิดเละเทะ และเมืองแตกอย่างรวดเร็ว
หลังจากครั้งนั้น กุสตาฟได้ถูกใช้งานอีกครั้งที่วอร์ซอในปี 1944 เพียงครั้งเดียว นอกจากนั้นก็ไม่เคยถูกใช้งานอีกเลย ว่ากันว่าเหล่าเสนาธิการของฮิตเลอร์ต่างก็ไม่ปลื้มกุสตาฟแม้แต่น้อย เพราะสงครามสมัยใหม่ ต้องการความรวดเร็ว ปืนที่เคลื่อนที่ช้าและอัตราการยิงต่ำ ถือว่าใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้และมีผลกับสงครามน้อยมาก หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เจ้ากุสตาฟก็หายไปไม่มีใครพบเห็นอีกเลย อาจเป็นไปได้ว่าถูกฝ่ายรัสเซียยึดไป หรือไม่ก็ถูกถอดชิ้นส่วนเพื่อนำไปใช้ทำอย่างอื่นในช่วงปลายสงคราม เพราะวัสดุที่ขาดแคลน