Solomon Islands หมู่เกาะมนุษย์กินคน
เป็น ดินแดนแห่งมนุษย์กินคนมาแต่อดีต จนกระทั่งยุคล่าอาณานิคมเกิดขึ้น อังกฤษจึงเข้ามาดูแล และมาเผยแพร่ศาสนาในดินแดนแห่งนี้ มนุษย์กินคนจึงค่อยๆเริ่มหายไป
ใน สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โซโลมอนเป็นที่หมายปองของคู่สงคราม เพราะเป็นจุดพักระหว่างทางของการขนส่งสินค้าในมหาสมุทรแปซิฟิค และมีทะเลล้อมรอบ จึงรบเพียงแค่ทางเรือและอากาศ และยังมีทรัพยากร ธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์จึงได้ชื่อว่า Pearl of Pacific (ไข่มุกแห่งแปซิฟิค)
ประชากรชาวโซโลมอน มีผิวสีดำ ผมหยิก ปากแดง เพราะเคี้ยวหมากเป็นอาจิณ ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงคนมีอายุ ปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่ 70% พูดภาษา Pidgin (พิดจิน) ซึ่งเป็นภาษาที่แผลงมาจากภาษาอังกฤษ และ 30% พูดภาษาอังกฤษ
ประชากรอยู่ อาศัยตั้งแต่ชายเขาและขึ้นไปอยู่ตามยอดเขา มีฤดูกาลเพียง 2ฤดูเท่านั้นคือ ฤดูร้อน และฤดูฝน ในหนึ่งวันมี 2ฤดู เช่น ตอนเช้าอากาศร้อน พอตอนบ่ายหรือตอนเย็นฝนจะตก จะเป็นอยู่อย่างนี้ 365วัน แต่สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปมีบรรยากาศดี เงียบสงบทั้งกลางวันกลางคืน เหมาะแก่การนั่งปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
อาหารหลักปัจจุบันคือ ข้าว เผือก มัน ปกติชาวโซโลมอนจะกินอาหารเพียงวันละ 1มื้อ (แต่กินปริมาณมาก) และในระหว่างวันถ้าหิว เขาจะเคี้ยวหมากแทน และที่กินเพียงแค่มื้อเดียว เพราะค่าอาหารแพงมาก 1จานอย่างต่ำ 25เหรียญโซโลมอน (125บาทไทย) ที่ราคาสูงเพราะ เกือบทุกอย่างต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ
เพราะพื้นที่เป็นเกาะ จึงเพาะปลูกได้น้อย อย่างผลไม้ ก็มีแค่ 4ชนิด คือ กล้วย มะละกอ สัปปะรด และมะพร้าว
ตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวโซโลมอนจะรักพวกพ้อง และกลุ่มมาก และถูกปลูกฝังเรื่องความกตัญญูที่มีต่อบรรพบุรุษมาตั้งแต่อดีต โดยถือเป็นหน้าที่ของลูกคือ เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าต้องดูแล เมื่อท่านตายต้องบูชา โดยจะนำบรรพบุรุษที่เสียชีวิตแล้ว ฝังในที่ใกล้ๆบ้านไว้เพื่อให้ลูกหลานได้บูชาเพราะเชื่อว่า จะทำให้ตัวเองมีพลังและโชคดีสามารถรบชนะศัตรูได้ และถ้าใครแต่งงานแล้วห้ามนอกใจเด็ดขาด ถ้าหากจับได้จะต้องถูกจับฆ่าและกินทันที ทั้งชายและหญิง
ทฤษฎีมนุษย์ ไดโนเสาร์
ความจริงแล้วมนุษย์ไดโนเสาร์นั้นมีมานาน แล้วครับ
นัก วิทยาศาสตร์บอกว่าถ้าเจ้าไดโนเสาร์ชื่อ “โนนิโคซอรัส” ไม่สูญพันธุ์ไปก่อน(สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปี)ละก็มันจะวิวัฒนาการกลายเป็นมนุษย์ไดโนเสาร์แน่นอน
แล้วทำไมเจ้า โนนิโคซอรัสถึงวิวัฒนาการได้แค่ชนิดเดียว ในขณะที่ไดโนเสาร์พันธุ์อื่นๆ ไม่วิวัฒนาการละ
นั้นก็เพราะเจ้าโนนิโคซอรัสนี้มีลักษณะแตกต่างจาก ไดโนเสาร์อื่นๆ นั้นเองครับ
หนึ่ง คือมันฉลาด และที่สำคัญคือมันสามารถใช้เท้าหน้าหยิบจับสิ่งของได้นั้นเอง(ก็เหมือนทฤษฎี ที่ว่าทำไมแมลงสาปไม่สามารถเป็นเจ้าโลกได้)
ความ จริงแล้วเรื่องของมนุษย์ไดโนเสาร์นั้นอาจไม่ใช้เรื่องจริงก็ได้ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้นว่ามันมีอยู่จริง โดยอาศัยจากปากนักวิทยาศาสตร์บางคนที่เผลอปากเล่าสู่กันฟังและความสื่อที่ ออกมาไม่รู้จะจริงหรือไม่เท่านั้นเองครับ โดยพวกสื่อมวลชนมักชอบไปแต่งเรื่องจนมั่วมาก ขนาดบ้านเราก็มีอยู่ในนิตยสารแปลกโลกที่มีรูปที่ดูแล้วก็บอกได้ว่า “มั่ว”พร้อม ประวัติมั่วๆ มาเล่าสู่กันฟัง
โดยต้นตอของเรื่องนี้ คือ..............................
ที่เทือกเขาแอนดีส ประเทศเปรู ค.ศ. 1996
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเจอมนุษย์ ประหลาดตัวหนึ่งในบริเวณที่ตกสำรวจในเทือกเขา เป็นเพศชาย อายุ 18 ปี โดยตอนพบกันครั้งแรก มนุษย์ประหลาดพยายามต่อสู้ แต่นักสำรวจได้ใช้ลูกดอกอาบยาสลบยิงจนสามารถจับได้
จากการสำรวจพบว่ามันเป็นมนุษย์ที่พึลึกกึกกือ มีส่วนสูง 5 ฟุต 4 นิ้ว ส่วนหัวหน้าเหมือนไดโนเสาร์มีครีบใต้คางเหมือนกิ้งก่า ตากลมโตเหมือนมนุษย์ต่างดาว ผิวหนังเป็นเกล็ดสีเขียวอมเทา แขนขายาวเก้งก้าง มือแต่ละข้างมี 3 นิ้ว ส่วนเท้ามี 5 นิ้ว ทั้งมือและเท้ามีพังผืดยึดติดไว้คล้ายตีนเป็ด
มนุษย์คือตัวอะไรกัน แน่??????????
นัก มานุษยวิทยาอเมริกันได้ขอตัวมนุษย์ประหลาดนี้นำไปวิจัยที่ศูนย์วิจัยลับแห่ง หนึ่งทางตอนเหนือของมลรัฐมิชิแกน พร้อมกับตั้งชื่อโครงการวิจัยนี้ว่า “โครงการวิจัยสิ่งมีชีวิตกึ่งคนกึ่งไดโนเสาร์” มันถูกนำเข้าห้องพักที่มีลูกกรงเหล็กรายล้อมรอบ มีโทรทัศน์วงจรปิดเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาพฤติกรรมได้ตลอดเวลา
ผล จากการวิจัย ในระยะแรกมนุษย์ประหลาดไม่ยอมกินอะไร ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน เอาแต่เดินงุ่มง่านภายในที่พัก
ต่อ มาเมื่อมันคุ้นเคย เจ้าสิ่งนั้นเริ่มพูดภาษาคนได้ มันเรียกเผ่าตัวเองว่า “พีซะห์”หมายถึงสิ่งสะเทินบกสะเทินน้ำ อยู่ได้ทั้งที่มืดและที่สว่าง
แต่ นักวิทยาศาสตร์และนักมานุษย์วิทยาศึกษาเจาะลึกมากกว่านั้น เบื้องต้น พวกเขาตั้งสันนิษฐานไว้เป็นข้อๆ ดังนี้
นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามสอนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโลกให้กับมนุษย์ ประหลาดตัวนั้น ทำให้มันตอบสนองได้ในหลายประการ เช่น
สามารถเรียนรู้ภาษาของชาวโลกได้ 2 ภาษา คือภาษาอังกฤษและสเปน(ไม่มีภาษาไทย) แต่เป็นแค่การเรียนรู้แบบเด็กหัดเดิน เป็นนักฟังที่ ดี แต่มีการแสดงออกน้อยนิด ไม่ค่อยตอบสนองต่อความก้าวร้าว และมีความเมตตา ชอบออกกำลังกายตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่งๆ วัดไอคิวอยู่ ที่ 80-85 น้อยกว่าของมนุษย์โลก แต่มากกว่าของสัตว์ ตรงนี้ทำให้เชื่อว่ามันน่าอยู่ระหว่างรอยต่อของความเป็นไดโนเสาร์กับมนุษย์ มันชอบกินอาหารประเทศสัตว์ขนาดเล็ก เช่น งู หนอน หนู และพวกพืชก็รากไม้สดๆ มันส่งเสียง ประหลาดๆ ออกมาได้ 4 ระดับเสียง คือเสียงหวีดร้อง คำราม ตะโกน เสียงที่เปร่งอยู่ระดับ 125 เดซิเบล คาดว่าพวกมันน่าจะสื่อสารทางเสียงมากกว่าภาษาและท่าทาง และนักวิจัยนี้ได้เรียกมันว่า “ไดโนแมน”
มี ดาวดวงอื่นที่เหมือนโลกอีกไหม มนุษย์อยู่โดดเดี่ยวในจักรวาลนี้จริงหรือ? เมื่อมีคำถามจึงมีการออกไปค้นหาคำตอบ และเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2552 องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่ง ชาติ หรือองค์การนาซา ได้ส่งยานอวกาศ “เคปเลอร์” ออก ไปสำรวจหาดวงดาวที่มีลักษณะคล้ายโลก โดยติดตั้งกล้องที่มีความละเอียดถึง95 ล้านพิกเซล ซึ่งเป็นกล้องที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยส่งไปสำรวจอวกาศ
งบประมาณที่ใช้จ่ายไปในโครงการนี้ประมาณ 21,000 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาราว 3 ปี ที่ยานลำนี้จะปฏิบัติหน้าที่บินสำรวจอวกาศ เพื่อสำรวจดาวฤกษ์ในกลุ่มดาวหงส์และกลุ่มดาวพิณในกาแลกซี่ทางช้างเผือกโดยมี วัตถุประสงค์ของการสำรวจครั้งนี้ เพื่อค้นหาดาวเคราะห์ที่มีอุณหภูมิไม่ร้อนและไม่เย็นเกินไป เป็นอุณหภูมิที่น้ำคงสภาพเป็นของเหลวอยู่บนพื้นผิวของดาวดวงนั้นได้
หาก พื้นที่ที่ยานอวกาศเคปเลอร์ผ่านไปนั้น มีดวงดาวที่มีลักษณะคล้ายกับโลกในจำนวนมาก อาจจะมีความเป็นไปได้ว่าโลกใบนี้มิได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาล โอกาสที่จะพบสิ่งมีชีวิตอื่นหรืออาจจะมีอีกโลกหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป และในทางตรงกันข้ามหากการสำรวจไม่พบ หรือพบดาวที่มีลักษณะคล้ายโลกน้อย ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าดาวที่มีลักษณะคล้ายโลกมนุษย์ของเรานั้น หาได้ยากในจักรวาลนี้
หวังว่าการสำรวจ ครั้งนี้คงได้พบกับสิ่งแปลกใหม่เพื่อให้เราได้สำรวจกันต่อไป
Alien มีมากกว่า 200 species ใน universeและมี 57 species ที่เคยมายังโลกนี้มาด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน ที่เห็นได้ชัดก็จะมี Gray และ
Reptilians และ(humanoid ) human ETs ที่อยู่อาศัยบนโลกใบนี้ และจำแนกย่อยออกเป็น 11สายพันธ์
มนุษย์ต่างดาว (Alien) เป็นสิ่งที่เชื่อว่าอาจมีอยู่จริงแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ ลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก ซึ่งในความคิดของคนส่วนใหญ่ มักจะวาดภาพ มนุษย์ต่างดาว ลักษณะคล้ายคนแต่ ตัวเขียว หัวโต ตาโต เคยมาเยือนโลกโดยมากับ จานบิน
ได้มีการแบ่งประเภทตามลักษณะของผู้ที่ อ้างว่าได้พบเจอมนุษย์ต่างดาวไว้ ดังนี้
เกรย์ (Grey) หมายถึงสีเทาโดยประเภทนี้พบบ่อยที่สุด (ดังในรูป) มีลักษณะหัวโต ตาโตสีดำ รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน นิ้วทุกนิ้วเรียวยาว ผิวหนังสีเทา จึงเป็นที่มาของชื่อ สื่อสารกันด้วยการใช้โทรจิตอเลสเฮนกา (Aleshenka) ตั้งตามชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัสเซียค้นพบเมื่อปี 2539โดยหญิงสติไม่สมประกอบผู้หนึ่ง มีการบันทึกการพบเจอไว้ด้วเทปของตำรวจ แต่ภายหลังพบว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงตัวอ่อนของมนุษย์เท่านั้นกึ่งคน กึ่งสัตว์(Reptilian humanoid) ตัวเขียวรูปร่างคล้ายมนุษย์มี 2 ขา แต่มีผิวหนังและลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน ดรอป้า (Dropa) ตัวเล็กมาก ก่อนหน้านี้มีหลักฐานว่าเคยพบบริเวณพรมแดนจีนทิเบตราว 1 หมื่นปีก่อน แต่ต่อมาพบว่าเป็นหลักฐานเท็จ และเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องกุขึ้น คล้าย(Robot) รูปร่างคล้ายหุ่นยนต์ในหนังวิทยาศาสตร์เนื้อตัวเป็นขนาดค่อนข้างใหญ่ คล้าย(Soul) ไม่มีกายเนื้อขาวคล้ายวิญญาณ
ได้มีการแบ่งประเภทการเผชิญหน้ากับ มนุษย์ต่างดาวไว้ 5 ระดับ คือ
การเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง (Close Encounters of the First Kind) หมายถึง การได้พบปะหรือเจอะเจอกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวในระยะที่ไกลห่างออกไป เช่น จานบินลอยอยู่บนท้องฟ้า หรืออยู่ห่างจากผู้ที่พบเจอในระยะ 50 หลา เป็นต้น การ เผชิญหน้าระดับที่สอง (Close Encounters of the Second Kind) หมายถึง การพบปะกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวคล้ายกับการเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง แต่อยู่ในระยะที่ใกล้ขึ้น เช่น อาจพบจานบินที่จอดอยู่บนพื้น เป็นต้น การเผชิญหน้าระดับที่สาม (Close Encounters of the Third Kind) หมายถึง การได้เข้าไปในจานบินจะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และ สามารถออกมาได้ การเผชิญหน้าระดับที่สี่ (Close Encounters of the Fourth Kind) หมายถึง การที่ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป อาจจะถูกทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา แต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และออกมาได้ การเผชิญหน้าระดับที่ห้า (Close Encounters of the Fifth Kind) หมายถึง การที่มีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในระดับที่เป็นกิจจะลักษณะ สามารถสื่อสารกันได้ความระหว่างมนุย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว
มนุษย์ต่างดาว อีกภาพใน หลอดทดลองจองนักวิทยาศาสตร์
เปอร์เซอุส(Perseus) เป็นบุตรของซุสกับ Danae และ Danae เป็นพระราชธิดาของพระราชา Acrisius มีความงามเลื่องลือไปทั่ว แต่เพราะพระราชา Acrisius เป็นคนหวงลูกสาวมาก จึงให้ลูกสาวของตนอยู่ในห้องนอนบนหอคอยใหญ่ คอยกันไม่ให้แม้แต่มดหรือแมลงใดๆมากล้ำกรายลูกสาวของตนได้ ความงามของพระราชธิดาดาเน่เลื่องลือไปถึงเขาโอลิมปัสจนเข้าหูซุส ด้วยความเจ้าชู้ไก่แจ้ ซุสจึงแปลงกายเป็นฝนทองคำสาดเข้าสู่หน้าต่าง และได้อยู่กินกับพระราชธิดาดาเน่ จนตั้งท้อง แล้วจากไป เมื่อพระราชธิดาคลอดลูกออกมา เทพพยากรณ์ทำนายว่า ถ้าปล่อยให้เปอร์ซีอุสเติบโตขึ้น เขาจะเป็นผู้ฆ่าพระราชา Acrisius จึงปล่อยพระราชธิดาดาเน่และเปอร์ซีอุสลอยแพในทะเล
เมื่อ ลอยไปในทะเลหลายวัน ทั้งสองได้รับการช่วยเหลือโดย Polydectes พระราชาแห่ง Seriphus เพราะหลงไหลในความงามของพระราชธิดาดาเน่ พระราชาโพลีเดคทีสพยายามหาโอกาสที่จะเข้าหาพระราชธิดาดาเน่เพื่ออะจึ๊ก ๆ แต่ไม่สามารถทำตามตั้งใจได้เพราะเปอร์ซีอุสคอยกีดกันขัดขวางไว้ พระราชาโพลีเดคทีสจึงวางแผนกำจัดเปอร์เซอุส จึงส่งเขาให้ไปนำหัวเมดูซ่า(หญิงสาวที่มีงูเต็มหัว ใครมองเห็นจะกลายเป็นหิน)กลับมาเพื่อพิสูจน์ความกล้าหาญ
ย้อนที่ประวัติเมดูซ่า นี้ดนึงนะครับ เมดูซ่า จริงๆไม่ได้ชื่อเผ่าพันธุ์นึงที่มีงูอยู่บนหัวนะคร้าบบ แต่เป็นชื่อของนางจริงๆ โดยจริงๆแล้ว นางปีศาจหัวงูกิงกองเรียกกัยว่าอสุรกายกอร์กอน (ที่ไม่ใช่รุด กูลิส)นั้น มีพี่สาวที่เป็นอย่างเธอถึง 2 คนด้วยกัน แถมจริงๆยังเก่งกว่าเธอและเป็นอมตะด้วย (เมดูซ่าอ่อนสุดแถมตายได้ง่ายด้วยการตัดคอ โฮ้ นี่ขนาดอ่อนแอสุดนะ ยังดังกว่าเลย ) ชื่อ สธีโน และ ยุไรเอลิ ซึ่งมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวใครสบตาพวกนางเป็นแข็งเป็นหินทุกราย เดิมพวกนางก็เป็นนางฟ้าแสนสวยนี่แหละ แต่ได้ถูกเทพีอาเธน่าพิโรธด้วยเรื่องอะไรที่มิรู้ได้จึงถูกสาปให้เป็นกอร์กอ นนี่แหละครับ
เปอร์ เซอุสออกเดินทางพร้อมกับโล่ห์เงิน ระหว่างเดินทาง เทพเฮอร์เมสและเทพธิดาเอธีน่า ได้ช่วยเหลือเปอร์เซอุสมากมาย เขาเดินทางไปหา เหล่าสาวๆพี่น้องของพวกเมดูซ่า Graeae ที่มีตาเพียงคนละตาเดียวและฟันเพียงคนละซี่เดียว เปอร์เซอุสได้หยิบตาและฟันของพวกเธอมา และสัญญาว่าจะคืนให้ ถ้ายอมช่วยเหลือเขาเพื่อปราบเมดูซ่า พวกเธอจึงช่วยเขาโดยนำปีกนกทำจากไม้จันทน์ 1 คู่ เป็นของวิเศษที่ทำให้บินได้, ย่ามใบใหญ่ เพื่อใส่หัวเมดูซ่า และหมวกวิเศษของฮาเดส ที่มีอำนาจทำให้หายตัวได้ เปอร์เซอุสจึงสวมหมวกวิเศษ แล้วบินไปหานางเมดูซ่า มองเงาสะท้อนของนางในโล่ห์ แล้วใช้ดาบตัดหัวนาง ขณะที่เขาบินข้ามแอฟริกา เพื่อกลับสู่เมืองเซริฟุส เขาได้เผชิญหน้ากับเทพแอตลาส Atlas หลังจากต่อสู้จนเหน็ดเหนื่อย เปอร์เซอุสจึงหยิบหัวของเมดูซ่าออกจากย่ามแล้วให้แอตลาส มองจนกลายเป็นหิน {กลายเป็นภูเขาแอตลาส} แต่เขาก็ทำเลือดเมดูซ่าหยดไปบนผืนทรายของทะเลทรายแอฟริกา ซึ่งต่อมาหยดเลือดนั้นก็กลายเป็นงูพิษทะเลทรายที่มีพิษร้ายแรง
ต่อ มา เมื่อเขาเดินทางผ่านทะเล เขาพบเทพธิดาแอนโดเมด้าถูกล่ามโซ่เปลือยบนก้อนหินริมทะเลเพื่อสังเวยปีศาจ ทะเล เขาตกหลุมรักหล่อนในทันทีจึงไปเจรจาเงื่อนไขกับว่าที่พ่อตา เซเฟอุส ว่า เขาจะฆ่าปีศาจทะเลเพื่อแต่งงานกับหล่อน เขาจึงปราบปีศาจทะเลจนหมดสิ้น แต่ในงานพิธีแต่งงาน ก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เมื่อ Phineus เพื่อนชายเก่าของแอนโดรเมดา เกิดอยากเป็นเจ้าบ่าวเสียเอง(ยุ่งล่ะสิ) จึงเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันขึ้นเพื่อแย่งตัวแอนโดรเมดา เปอร์เซอุสจึงหยิบหัวเมดูซ่าออกมาจากย่าม ให้ ฟิเนอัสและพรรคพวกดูจนกลายเป็นหินไป
เมื่อเขาพาเจ้าสาวกลับมา เมือง Seriphus เขาพบว่าพระราชาโพลีเดคทีสยังคงคอยเซ้าซี่รบกวนนางดาเน่ เขาจึงใช้หัวเมดูซ่าอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนหระราชาให้กลายเป็นหิน(ใช้อยู่ เรื่อย พลังไม่หมดหรือไงน่ะ) และเขาก็มอบปีกนก, ย่าม และหมวกวิเศษ ให้กับเทพเฮอร์เมส และมอบหัวเมดูซ่าให้กับเทพธิดาเอธีน่า ซึ่งนำหัวมาติดบนโลห์ aegis ของเธอเพื่อปกป้องเธอในสนามรบ
ใน ที่สุด เปอร์เซอุสก็เดินทางกลับไปยังเมืองของ Acrisiusโดยได้โยนจานร่อนเพื่อประลองกำลังไปถูกพระราชา Acrisius ตาย ตามคำทำนายทุกประการ
"ความเชื่อ"
ตำนาน ของฮาโลวีนมีอยู่ว่า... วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาวเซ็ลด (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเซ็ลดเชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็น จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นๆ เพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ทีนี้ก็ เดือด ร้อนถึงคนเป็นละซิ ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเซ็ลดจึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ประมาณว่า ปลอมตัวเป็นผีร้ายไปเลย ไม่ใช่มนุษย์นะ และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจ หนีหายสาบสูญไปเลย (นั่นหลอกได้แม้กระทั่งผี) บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา ?คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง? เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสต์กาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์
ประเพณีฮาโลวีน"
ต่อ มาในศตวรรษแรกแห่งคริสต์กาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเซ็ลด แต่ได้ตัดการเผาร่าง ?คนที่ถูกผีสิง? ออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน (ค่อยยังชั่วหน่อย)
กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรกันไป
ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึง อเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี Trick or Treat นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน ?All Souls? พวกเขาจะเดินร้องขอ ?ขนมเค้กสำหรับวิญญาณ? (Soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาค ก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
ตำนานฟักทอง"
ส่วน ตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง Jack-o-lantern ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ ?ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก? แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฎิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกทำให้กลวง เพื่อให้ไฟโชติช่วงได้นานขึ้น
ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเท อนิพ และใส่ไฟในด้านในเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง ?การหยุดยั้งความชั่ว? Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดเยอะ จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาด ก็เลยกลายเป็นฟักทองแทนด้วยเหตุผลฉะนี้แล
รถไฟใต้ดินกรุงมอสโก, รัสเซีย
ใน เมืองที่มีอายุเก่าแก่เกือบ 900 ปีแห่งนี้ มอสโก ผ่านวันเวลาที่เคยครอบครองโดยจอมเผด็จการผู้กระหายเลือดนับร้อยปี คอมมิวนิสต์ผู้ไม่ยอม
อ่อนข้อ และจักรพรรดิรัสเซีย ต่างก็พยายามขุดเมืองนี้ให้รอดพ้นจากเรดาร์ ด้วยเหตุนี้ลึกลงไปใต้ดินกว่า 700 เมตร มอสโกจึงเต็มไปด้วยเครือข่าย
คลองขนาดมโหฬารที่มีความ ตื้นลึกต่างกันถึง 15 ระดับที่พัฒนามาเป็น 'รถไฟใต้ดิน' เส้นทางคมนาคมที่พัฒนามาจากสถานที่ที่เคยเป็น
บ้านคนจรจัด นักต่อต้าน ศิลปิน ผู้ถูกเนรเทศ และหลุมศพของผู้ถูกสังหารหมู่
รถไฟเที่ยวสุด ท้ายของคืนจะให้ความรู้สึกอย่างไรกันนะ
ปราสาทบรีซัค, ฝรั่งเศส
ตาม ประสาของปราสาทในฝรั่งเศสที่ต้องตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามตามแต่ใจตัว เอง ปราสาท บรีซัค (Brissac) กลางหุบเขาลัวร์ขนาด
7 ชั้น มีห้องมากกว่า 200 ห้อง เพดานทาด้วยทองคำ ม่านลายดอกประดับผนังและพรมลายดอกไม้เข้าชุดกันชนิดผู้มีโอกาสมาเยือนแทบ
ลืม หายใจ เฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลัก เสาปราสาททำจากแก้วคริสตัล ไม่ใช่สถานที่ที่แย่เกินไปที่จะอยู่อาศัย ยกเว้นความจริงที่ว่าคุณจะต้องอยู่กับ
วิญญาณของ ชาร์ลอต (มาดามของจาร์ค เดอ บรีซ)และชายชู้ของเธอ ทั้งคู่ถูกสังหารที่นี่ หลังจากทั้งคู่ถูกปลิดชีวิต บรีซก็ต้องบอกขายปราสาท
ในเวลาไล่ เลี่ยกัน
เพราะไม่สามารถทนกับเสียงร้องโหยหวนกลางดึกของผีชู้รักคู่ นี้ได้
บ้านแฮคเกอร์, สหรัฐอเมริกา
ตำนาน ของบ้านแฮคเกอร์ (Hacker House) เกิดขึ้นกว่าร้อยปีก่อน ตำนานนี้ไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด เนื่องจากเหตุการณ์เลวร้ายยังคงเกิดขึ้น
อย่าง ต่อเนื่อง บ้านแฮคเกอร์ตั้งอยู่บนถนนที่แยกจากถนนวินสตัน-สาเลม ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา สร้างอยู่เหนือหลุมศพชาวอเมริกันพื้นเมือง สถาน
ที่ อันถูกสาป เรื่องสยองขวัญเริ่มขึ้นในปีค.ศ.1821 นายทหารหลายคนยุคนั้นอ้างว่าพวกเขายิงปืนใส่คนนับสิบที่ยิงเท่าไหร่ก็ไม่ตาย ร้อยปีต่อมา
บ้านแฮคเกอร์กลายเป็นโรงพยาบาลและห้องทดลอง มีรายงานที่ไม่ชัดเจนว่าศพหลายศพหายไปหลังจากไฟไหม้ใหญ่ในปีค.ศ.1930 ทิ้งไว้
แต่เพียงหลุมว่างเปล่า ซึ่งดร.โจห์นาส แฮคเกอร์ เจ้าของห้องทดลองอ้างว่า
นี่เป็นผลมาจากการทดลองที่เขาได้ฉีดสาร บางอย่างเข้าไปในร่างกายคนไข้ของเขาก่อนพวกเขาเสียชีวิต บ้านแฮคเกอร์ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่
เพื่อใช้ทำพิธีเกี่ยวกับการฝังศพ และชาวเมืองก็พยายามโปรโมทให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ที่ซึ่ง ไม่มีใครยอมมาอาศัยอยู่