ค้น หาเรื่องราวของ "ไวกิ้ง" และ สแกนดิเนเวีย

ชาว มุสลิมได้บันทึกเรื่องชาวสแกนดิเนเวีย และไวกิ้งไว้มากมาย บันทึกบางชิ้นเก่าแก่มากๆ (จริงๆ แล้วถือเป็นบันทึกที่เก่าที่สุดและอธิบายเรื่องราวของชาวไวกิ้งไว้เยอะที่ สุด) ประมาณว่านักเดินทางมุสลิมสมัยกลางที่เคยบันทึกเรื่องของชาวไวกิ้งไว้มี จำนวนสูงถึง 50 คน ส่วนบันทึกฉบับที่โด่งดังที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘บันทึกของอิบนุฟัดลัน’ 

เมื่อ กว่า 1,000 ปีมาแล้ว ชาวนอร์สเมน ( คนทางเหนือ ) ที่ดุเหล่าบุกเข้าปล้นสะดมเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ตามชายฝั่งของยุโรปและแอฟริกาเหนือ ชาวนอร์สแมนเหล่านั้นก็คือ ชาวไวกิ้งส์ที่เราส่วนใหญ่มักเห็นพวกเขาในลักษณะที่ไว้เครายาวและสวมหมวก เหล็กประดับด้วยเขาวัว คำว่า “ไวกิ้งส์” แปลว่าโจรสลัดในภาษานอร์สเก่า – และพวกไวกิ้งส์ก็ทำตัวสมชื่อ พวกนี้เป็นที่รู้จักในด้านความโหดเ***้ยมและรักการต่อสู้ ศัตรูของพวกไวกิ้งส์ก็ทั้งเกลียดและกลัวพวกเขา

แต่ พวกไวกิ้งส์ยังเป็นนักสำรวจที่ห้าวหาญอีกด้วย เรือใบลำยาวแคบของพวกเขาพาพวกเขาจากนอรเว สวีเดนและเดนมาร์กอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนไปยังชายฝั่งของกรีนแลนด์และ อเมริกาเหนือ พวกไวกิ้งส์ใช้วิธีอันชาญฉลาดเวลาเดินเรือออกสำรวจ พวกเขานำกาไปด้วย ทุกๆ สองสามวันเขาจะปล่อยกาไปตัวหนึ่ง ในตอนแรกกาบินกลับไปยังดินแดนที่เรือจากมา แต่เมื่อเรือเคลื่อนไปเรื่อยๆ วันหนึ่งกาจะบินไปทางทิศอื่น พวกไวกิงส์แล่นเรือตามกาไป พวกเขากำลังเข้าไปใกล้แผ่นดิน-ดินแดนใหม่

มี นักสำรวจชาวไวกิ้งส์ที่มีชื่อเสียงอยู่คนหนึ่ง เขามีชื่อเล่นว่าเอริค เดอะเรด เขามีผมและเคราสีแดง เอริคเติบโตในไอซแลนด์ บิดาของเขาถูกส่งไปที่นั่นเป็นการลงโทษฆ่าคนไวกิ้งส์ เอริคมีอารมณ์ร้าย วันหนึ่งเขาฆ่าเพื่อนบ้านระหว่างต่อสู้กัน ชาวไวกิ้งส์ประกาศให้เขาเป็นคนนอกกฎหมายและสั่งให้เขาออกไปจากไอซแลนด์ 3 ปี

เอ ริคกับครอบครัวและพรรคพวกทุกข้าวของลงเรือ 25 ลำ และเดินทางจากไป ชาวไวกิ้งส์คนอื่นเล่าให้เขาฟังถึงเกาะใหญ่แห่งหนึ่งทางตะวันตก พวกเขาจึงแล่นเรือไปทางทิศนั้น ในที่สุดก็ขึ้นบกที่ชายฝั่งเต็มไปด้วยโขดหินขรุขระของเกาะนี้ ถึงแม้เกาะจะมีพื้นที่รกร้างว่างเปล่าและเป็นน้ำแข็งเป็นส่วนมาก แต่เอริคก็เรียกมันว่า กรีนแลนด์ เขาหวังว่าชื่อนี้จะดึงดูดผู้คนให้มาตั้งรกรากและมันก็ดึงดูดจริงๆ การตั้งถิ่นฐานรกรากของพวกไวกิ้งส์เริ่มขึ้นประมาณปี ค.ศ.985 และดำเนินติดต่อเรื่อยมาถึง 400 ปี

เอ ริคให้กำเนิดมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ ลีฟ เอริคสัน ( Lief Ericson ) หรือที่รู้จักกันในนามลีฟผู้โชคดี ด้วยลีฟเป็นนักสำรวจคนหนึ่งเช่นกัน ราวๆปีค.ศ.1000 ลีฟและลูกเรือของเขาติดพายุขณะแล่นเรือจากนอรเวมาที่กรีนแลนด์ พวกเขาหลงอยู่ในทะเลหลายวัน ในที่สุดก็มองเห็นแผ่นดินชายฝั่งของอเมริกาเหนือ

ไม่ มีผู้ใดรู้ว่าลีฟและบริวารของเขาขึ้นฝั่งครั้งแรกที่ไหนแน่ อาจจะเลยขึ้นไปทางเหนือถึงคาบสมุทรลาบราดอร์ในคานาดาปัจจุบัน หรือลงไปทางใต้ของรัฐเวอร์จีเนียก็ได้ พวกไวกิ้งส์พรรณนาถึงสถานที่นั้นว่าปกคลุมไปด้วยป่ากว้างใหญ่ไพศาล นาข้าวสาลีและต้นองุ่น พวกเขาเรียกที่นั้นว่า วินแลนด์ (Vinland) หรือ ไวน์แลนด์ (Wineland) ต่อมา ก็มีคณะเดินทางคณะอื่นๆ เดินทางงมาและมีการสร้างถิ่นฐานบ้านเรือนขึ้น อย่างไรก็ตาม ต่อมาชาวอินเดียนแดงขับไล่ชาวไวกิ้งส์ออกไป แต่ความจริงมีอยู่ว่าพวกไวกิ้งส์ค้นพบทวีปอเมริกาก่อนโคลัมบัส 500 ปี

 

บรรพบุรุษของชาวสแกนดิเนเวีย สืบเชื้อสายมาจาก สลัดไวกิ้ง
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งทะเลเหนือ หรือที่เรียกกันว่า”คนเหนือ”

หน้านาช่วยกันทำไร่ไถนา หลังเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว
ก็รวบรวมพรรคพวกนำเรือออกทำการปล้นเรือสินค้า ต่างๆ
ที่แล่นผ่านมาในแถบทะเลเหนือ และในน่านน้ำยุโรป   
สลัด ไวกิ้งยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้เพราะมีเรือดี เป็นเรือมังกร ที่เคลื่อนไหวได้คล่องตัวและว่องไว
กินน้ำตื้น คอยซุ่มตัวรอเหยื่อตามเกาะแก่งทั่วๆไป
 พวกสลัดไวกิ้งจะมีร่างกายกำยำ สูงใหญ่ ผมสีทอง ไว้หนวดเครารุงรัง
สวมหมวกเขาควาย

เรือสินค้า หรือแม้แต่เรือรบของต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นของอังกฤษหรือ ฝรั่งเศส 
ตั้งฉายาให้เรือไวกิ้งว่า”เป็น เรือปิศาจ”
ที่สามารถซุ่มโจมตีข้าศึกได้อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบที่สุด

ใน สมัยแรกๆพวกไวกิ้งเป็นพวกที่โหด***มาก
ทารุณต่อเหยื่อที่พวกมันบุกเข้า ไปปล้น
สลัดไวกิ้งจะฆ่าเหยื่อด้วยดาบ ฟันคอด้วยขวาน เจาะหัวเหยื่อด้วย อีเตอร์
แทงด้วยหอก และยิงเหยื่อด้วยธนู
             
พวกสลัด ไวกิ้งจะสับเชลยที่จับมาได้เป็นชิ้นๆแล้วโยนให้เป็นอาหารของนกและปลา
จาก จุดนี้เองที่ทำให้ชื่อเสียงในด้านความโหดของพวกสลัดไวกิ้ง
ที่ได้สร้าง ความอกสั่นขวัญแขวนให้ผู้คนทั้งหลายไปทั่วยุโรป

การรวมตัวของสลัด ไวกิ้ง 3 ประเทศ สวีเดน เดนมาร์ค และนอร์เวย์ 
เป็นการรวมพลังครั้งยิ่ง ใหญ่ในประวัติศาสตร์ของสลัดไวกิ้ง

จากนั้นนั้นไวกิ้งก็ได้ยกพลบุกไป ปล้นสดมภ์ไปทั่วยุโรป
อังกฤษฝรั่งเศสราบเรียบเป็นหน้ากลอง
จนประเทศ อังกฤษต้องยอมแพ้
และต้องยอมจ่ายส่วยให้กับสลัดไวกิ้งเป็นจำนวนมหาศาล
เพื่อ แลกกับการถูกพวกสลัดไว้กิ้งเข้ายึดครองประเทศ

ไวกิ้งบุกไปปล้นถึง ประเทศตุรกี แม้กระทั่งรัสเซีย ก็ไม่มีการยกเว้น
สลัดไวกิ้งเข้าไปจู่ โจมถึงเมือง”เคี๊ยฟ”
ปัจจุบันนี้ยังมีเมืองหลายๆเมืองในรัสเซีย
ที่ ยังมีชื่อที่มีความเกี่ยวพันกับพวกไวกิ้งในอดีต

หลังจากกลับมาจากการ บุกยุโรปครั้งยิ่งใหญ่แล้ว
สลัดไวกิ้งจากสแกนฯ ได้ขนทรัพย์สมบัติเงินทอง
ตลอดจนเชลยทาสอีกเป็นจำนวนมากมายจากยุโรปกลับ คืนถิ่น

พวกสลัดไวกิ้ง เมื่อกลับมาจากการปล้นทั้งทางทะเลและทางภาคพื้นดินแล้ว
พวกเขาจะเปลี่ยน สภาพเป็นชาวไร่ชาวนา เลี้ยงวัว เลี้ยงแกะ เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่
ใช้แรงงาน ทาสให้ทำงานหนักๆแทน

ภาพเขียนด้วยหินสีต่างๆ กระทั่งภาษาที่ใช้ในสมัยไวกิ้งยังมีให้เห็นตามผนังถ้ำ
และที่จารึกบน แผ่นหิน คล้ายๆกับศิลาจารึกในประวัติศาสตร์ไทยสมัยสุโขทัย
เป็นเรื่อง ประหลาดมากที่มีรูปภาพชาวไวกิ้งมีความสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยงต่างๆอีกด้วย

ผู้หญิง ในยุคไวกิ้ง ยังไม่มีสิทธิและเสรีภาพอย่างเช่นปัจจุบัน 
ต้องเอาอ่างที่ แกะมาจากไม้ไปให้พวกระดับหัวหน้าล้างหน้าล้างตาบ้วนปากถึงที่นอน
ต้องทำ อาหารเลี้ยงดู ปรนเปรอพวกผู้ชาย ต้องตัดเย็บเสื้อผ้าจากหนังแกะหนังวัว
ทำ งานหนักไม่ต่างไปกว่าเชลยทาสเหมือนกัน

ในกรณีที่มีหัวหน้าไวกิ้งเสีย ชีวิต จะมีการนำศพหัวหน้าใส่เรือมังกร
แล้วจุดไฟเผาให้เรือจมสูญหายไปใน ทะเล
บางแห่งมีการขุดหลุมกว้างๆ ฝังศพหัวหน้า ต้องฝังเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆรวมไปด้วย
แล้วก็จะใช้ดินถมจนเป็นเนิน สูงๆเพื่อให้เป็นที่สังเกตได้ง่ายๆ
ยังมีให้เห็นทั่วๆไปในประเทศสวีเดน ในปัจจุบัน

พวกไวกิ้ง นับถือพระเจ้า 3 องค์ คือพระเจ้า โอเดน พระเจ้าโทร์ และ เฟรย์
เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม  เป็ เทพเจ้าแห่งความสมบูรณ์พูนสุข
และ เป็นเทพเจ้าแห่งการเกษตรกรรมอีกด้วย

จาก นั้นพวกไวกิ้งเริ่มแบ่งแยกกันไปตั้งก๊กต่างๆ
ใครมีอำนาจและบริวารมากพอ ก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ 
ในยุคนั้นจึง มีพวกไวกิ้งสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์กันเป็นจำนวนมาก
จนมีตำนานเรียกกัน ว่าเป็นดินแดนของ “กษัตริย์ 108”
แล้วกษัตริย์ 108 เหล่านี้ ก็แย่งกันเป็นใหญ่ ยกทัพออกไปทำสงครามขยายอำนาจ
เกิดเป็นสงครามยืดเยื้อ อันยาวนาน รบกันไปรบกันมาจนเหลือกษัตริย์แค่ 2 แคว้น
คือแคว้น สเวีย Sver กับ แคว้น เยิร์ตต้า Gota

แต่ในที่สุดก็สามารถเจรจาตกลงกันได้ และก็ผนึกสองแคว้นนี้ขึ้นมา
เป็นอาณาจักรSverige สแวรีเย่ หรือ สแวเรีย ตามที่สากลเรียกว่าประเทศ สวีเดนนั่นเอง

ประเทศสวีเดนเพิ่งมาเขียน ประวัติศาตร์เป็นทางการเมื่อศตวรรษ์ที่ 16 
ยุคแรกๆยังมีการซื้อขายทาส ใช้แรงงานทาส พวกทาสจะไม่มีค่าแรง
มีแค่อาหารและเครื่องนุ่งห่มที่ได้ รับจากนายทาสเท่านั้น

ประเทศสวีเดนหลังยุคไวกิ้ง ประชาชนอดอยากปากแห้ง
ทำการเกษตรไม่ค่อยจะได้ผลเพราะความหนาวเหน็บ
มี ฤดูหนาวที่ยาวนานที่มีน้ำแข็งปกคลุมเกือบตลอดทั้งปี

ประชาชนชาว สวีเดนเกือบ 1 ล้านคน ต้องอพยพไปหาช่องทางทำมาหากิน
ที่ประเทศสหรัฐ อเมริกา โดยเฉพาะที่รัฐ มินิโซตา ปัจจุบันนี้
ก็ยังมีคนที่สืบเชื้อสายมา จากสวีเดนรวมกลุ่มกันอยู่ที่นั่น
               
ประเทศสวีเดนเพิ่ง มาร่ำรวยในช่วงสงครามโลกครั้งที่2นี่เอง
โดยการประกาศตัวเป็นกลาง แต่ ตั้งโรงงานผลิตอาวุธสงคราม
ถึงกับต้องจ้างแรงงานมาจากต่างประเทศ เช่นประเทศตุรี
ยูโกฯ เช็คโกฯ และหลายๆประเทศในยุโรป
               
ประเทศ เพื่อนบ้าน อย่างเดนมาร์ค นอร์เวย์ และ ฟินแลนด์
มักจะพากันประณามประเทศ สวีเดนอยู่เสมอๆว่า เป็นผู้ทรยศต่อเพื่อนบ้าน
อย่างเช่นกรณีที่ยอม ปล่อยให้กองทัพของรัสเซีย
เดินทัพผ่านประเทศสวีเดน ไปยึดประเทศฟินแลนด์ เป็นต้น

 

Viking แปลว่าโจรสลัด เป็นคำที่ใช้เรียกชื่อชนเผ่าหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือในทะเล และปล้นสะดมหัวเมืองต่างๆ ที่ตั้งอยู่ใน ยุโรป ทางเหนือ คนทั่วไปคิดว่าไวกิ้งชอบสวมหมวกที่มีเขา มีเครายาวและดุร้าย ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่าในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 8 ประเทศต่างๆ ในยุโรป ได้ถูกชนเผ่าไวกิ้งโจมตีอยู่เนืองๆ และในตอนปลายของศตวรรษนั่นเองไวกิ้งก็ได้ถูกกองทัพที่เข้มแข็งของ จักรพรรดิ Charlemagne ต่อต้านจนไวกิ้งต้องถอยทัพกลับไป แต่เมื่อจักรพรรดิ์ขององค์จักรพรรดิ์เริ่มล่มสลาย ไวกิ้งก็รวบรวม กองทัพเข้าบุกโจมตีอีก และยึดเมือง Tours, Orleans และ Rouen ของฝรั่งเศสได้ รวมทั้งได้เข้าล้อมกรุงปารีสด้วย แต่เมื่อกษัตริย์ Charles ของฝรั่งเศสได้ทรงมอบเงินและทองคำ ที่หนัก 6 ตันให้แก่ไวกิ้ง ไวกิ้งจึงได้ถอยทัพกลับไป แต่ก็ได้หวนกลับมารุกราน ฝรั่งเศสอีกหลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุดฝรั่งเศสต้องยก Normandy ให้ไวกิ้งไป

 

ใน ปี พ.ศ. 1377 ไวกิ้งได้ยกกองทัพบุกอังกฤษ และ ยึดครองเมืองต่างๆ ได้หลายเมือง กษัตริย์ไวกิ้งที่มีนามว่า Harold Bluetooth ได้เข้า ปกครองอังกฤษ และได้แผ่ขยาย อาณาจักรจนกระทั่งถึงเกาะ Iceland ในปี พ.ศ. 1417 Eric the Red (เพราะมีผมและเคราแดง) เมื่อถูกเนรเทศจาก Iceland ได้อพยพพาครอบครัวและเรือ 25 ลำ ออกเดินทางไปทาง ทิศตะวันตกพบเกาะ Greenland ทั้งๆ ที่เกาะทั้งเกาะมีหิมะและ น้ำแข็งปกคลุมเต็มไปหมด แต่เขาต้องการให้ชื่อเกาะแห่งความเขียว ชอุ่มนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยว และนักผจญภัยอื่นๆ เขาจึงตั้งชื่อเกาะ ที่พบว่า Greenland และในปี พ.ศ. 1528 Leif Ericson ผู้เป็นบุตรของ Eric the Red ก็ได้รายงานการพบแผ่นดิน ที่นักประวัติศาสตร์ทุกวันนี้เชื่อว่าเป็น Labrador, Newfoundland และ New England เพราะ Leif ได้บรรยายว่าบนดินแดนใหม่นี้มีป่าไม้ ทุ่งข้าวสาลีและไร่องุ่น แต่ไวกิ้ง ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนใหม่นี้ได้ไม่นานก็ถูกพวก อินเดียนแดงรุกราน จนต้องอพยพกลับ Greenland ไป ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกิดก่อนที่ Columbus จะพบอเมริกาประมาณ 500 ปี

ชาวมุสลิมได้บันทึกเรื่อง ชาวสแกนดิเนเวียไว้มากมาย บันทึกบางชิ้นเก่าแก่มากๆ (จริงๆ แล้วถือเป็นบันทึกที่เก่าที่สุดและอธิบายเรื่องราวของชาวไวกิ้งไว้เยอะที่ สุด) ประมาณว่านักเดินทางมุสลิมสมัยกลางที่เคยบันทึกเรื่องของชาวไวกิ้งไว้มี จำนวนสูงถึง 50 คน ส่วนบันทึกฉบับที่โด่งดังที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘บัน ทึกของอิบนุฟัดลัน’

บัน ทึกของอิบนุฟัดลันเกี่ยวกับยุโรปเหนือและสแกนดิเนเวียถูกวิเคราะห์และให้ข้อ คิดเห็นบ่อยมาก และใช้ในการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาและสังคมวิทยาของคนชาติเหล่านั้น ต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนชื่อดัง ไมเคิล ไครซ์ตัน (Michael Crichton ค.ศ.1942-) ผู้แต่ง ‘จูราสสิคพาร์ค’ เขียนนวนิยายเรื่อง Eaters of the Dead ขึ้นในปี 1976 จากนั้นนิยายเรื่องนี้ก็กลายมาเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง The Thirteenth Warrior (ปี 1999) หรือชื่อภาษาไทย พลิก ตำนานสงครามมรณะ กำกับโดยจอห์น แมคเทียร์นัน นำแสดงโดย แอนโตนิโอ บันเดอราส ซึ่งแสดงเป็นอิบนุ ฟัดลัน  

อาห์หมัด อิบนุ ฟัดลัน (Ahmad ibn Fadlan อารบิก: ???? ??? ????? ??? ?????? ??? ???? ??? ????) เป็น นักเขียนและนักเดินทางชาวมุสลิมสมัยศตวรรษที่ 10 นำคณะฑูตของกาหลิบอัล-มุกตาดีร (al-Muqtadir ครองราชย์ ค.ศ.908-932) จากแบกแดดไปยังวอลกาบุลการ์ ดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลดำกับทะเลแคสเปียน ที่นั่นอิบนุฟัดลันได้บันทึกการพบปะกับชาวรูส (Rus) พ่อค้าจากยุโรปเหนือ ซึ่งอิบนุฟัดลันเรียกว่า ‘ชาวรูซียาฮ์’ (Rusiyyah) ชาวรูสก็คือชาวไวกิ้งจากสแกนดิเนเวีย ลงมาเป็นพ่อค้าที่แม่น้ำวอลกา เป็นบรรพบุรุษของชาวรัสเซียในทุกวันนี้

เรื่องราวต่อไปนี้คัดมาจาก บันทึกของอิบนุฟัดลันที่เกี่ยวกับชาวรูส

“ฉัน เห็นชาวรูซียาฮ์ (รูส) พวกเขาเดินทางมาค้าขายยัง ฝั่งแม่น้ำวอลกา ฉันไม่เคยเห็นใครมีร่างกายสมบูรณ์แบบเท่าพวกเขา – สูง ราวต้นอินทผลัม ผมสีบลอนด์ ผิวสีแดง ผู้ชายมิได้สวมเสื้อคลุม พวกเขาสวมเสื้อที่คลุมร่างกายเพียงด้านเดียว อีกด้านเปลือยไหล่และแขน

ทุกคนพกขวาน ดาบ และมีดติดตัวตลอดเวลา ดาบมีลักษณะกว้าง คล้ายดาบของพวกแฟรงค์ (ฝรั่งเศส) ผู้ชายทุกคนมีรอยสักตามตัวตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงคอ พวกเขาเลยดูเหมือนต้นไม้สีเขียวเข้ม

ที่ หน้าอกของผู้หญิงแต่ละคนห้อยกล่องที่ทำด้วยเหล็ก เงิน ทองแดง หรือทอง มูลค่าของกล่องนี้บ่งบอกถึงความร่ำรวยของสามีพวกเธอ รอบคอของพวกเธอใส่ห่วงทองหรือห่วงเงิน แต่ละคนใส่มีมูลค่า 10,000 ดิรฮัมเท่ากับความร่ำรวยของสามีพวกเธอ ผู้หญิงบางคนมีห่วงทองหลายห่วง เครื่องประดับที่มีค่าที่สุดของพวกเธอก็คือลูกปัดแก้วสีเขียวซึ่งเหมือนกับ วัตถุเซรามิกบนเรือไวกิ้งของพวกเขา ชาวรูสซื้อขายลูกปัดกันเอง และจ่ายกันด้วยราคาสูงลิบลิ่ว ชิ้นละหนึ่งดิรฮัม พวกเขาทำเป็นสร้อยคอให้ภรรยา

ชาว รูสเป็นเป็นสิ่งมีชีวิตที่สกปรกที่สุดที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะเรี่ยราด ร่วมเพศเสร็จก็ไม่ทำความสะอาดร่างกาย รับประทานอาหารเสร็จก็ไม่ล้างมือ ดังนั้นพวกเขาเลยมีสภาพเหมือนสัตว์ป่า ตอนที่พวกเขาอพยพมา (จากสแกนดิเนเวีย) และ จอดทอดสมอหรือขึ้นฝั่งที่แม่น้ำวอลกาซึ่งเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ พวกเขาได้ใช้ไม้ก่อสร้างบ้านเรือนขนาดใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำ บ้านแต่ละหลังมีคนอาศัยประมาณ 20 คน ชายแต่ละคนนั่งบนโซฟายาว แวดล้อมด้วยทาสหญิงหลายคนซึ่งเอาไว้ขายให้พ่อค้า ชายแต่ละคนร่วมประเวณีกับทาสหญิงของพวกเขาบนโซฟาในขณะที่เพื่อนๆ นั่งมองอยู่ บางครั้งผู้ชายทั้งหมดก็ร่วมประเวณีกับทาสหญิงพร้อมๆ กัน ในขณะที่ชายคนอื่นๆ ก็อยู่ด้วย เมื่อพ่อค้ามาหาเพื่อซื้อทาสหญิงของพวกเขา พ่อค้าก็ต้องรอและนั่งมองให้ชาวรูสร่วมประเวณีกับทาสหญิงให้เสร็จก่อน

ทุกๆ วันชาวรูสจะล้างหน้าและศีรษะด้วยวิธีการที่สกปรกที่สุดและโสโครกที่สุดเท่า ที่จะนึกได้: ทุกๆ เช้า หญิงรับใช้จะนำชามใบใหญ่ซึ่งใส่น้ำจนเต็มไปให้เจ้านาย จากนั้นเจ้านายก็จะล้างมือ หน้า และผมของเขา – ล้าง ผมและหวีผมในชาม จากนั้นสั่งน้ำมูกและบ้วนปากลงในชาม เมื่อเขาเสร็จภาระกิจ สาวใช้ก็นำชามใบนั้นไปให้ชายคนต่อไป ซึ่งก็ทำภาระกิจเหมือนชายคนแรก จากนั้นเธอก็เวียนเทียนชามใบเดิมไปให้ผู้ชายทุกคนในบ้าน แต่ละคนจะล้างหน้าและผม สั่งน้ำมูก บ้วนปากในชามใบนั้น

เมื่อ เรือมาจอดที่ท่าแล้ว ชาวรูสก็ขึ้นฝั่ง โดยหอบสิ่งของติดตัวมาด้วย มีทั้งขนมปัง เนื้อสัตว์ หอมใหญ่ นม และเหล้า แล้วก็หันไปยังเสาไม้ยาวที่ปักตั้งฉากไว้ บนยอดของเสาสลักเป็นใบหน้าคน รอบๆ เสามีรูปปั้นตัวเล็กๆ วางเรียงราย ชาวรูสก้มลงกราบเสาไม้พร้อมกล่าววิงวอนว่า “โอ้ พระเจ้าของฉัน ฉันเดินทางมาจากแดนไกล นำทาสหญิงและตัวเซเบิลมากมายมาขาย” จากนั้นเขาก็จาระไนถึงสินค้าเครื่องปั้นดินเผาอื่นๆ ที่นำมาขาย แล้วบอกว่า “และ ฉันได้นำของเหล่านี้มาถวายพระองค์” จากนั้นก็วางของที่ตนนำมา เซ่นไหว้รูปปั้นนั้น ก่อนจะรำพึงรำพันต่อไปว่า “ฉัน หวังว่าพระองค์จะส่งพ่อค้ามาซื้อสินค้าของฉัน นำเงินมาหลายดินาร์และดิรฮัม เพื่อมาซื้อข้าวของจากฉันตามที่ฉันปรารถนา และขอให้พ่อค้าอย่าได้ขัดแย้งอันใดกับฉันเลย” จากนั้นชาวรูสผู้นั้นก็จากไป หากขายสินค้าได้ยาก นั่งคอยลูกค้านานเกิน เขาก็จะกลับไปที่รูปปั้นอีกเพื่อถวายของเซ่นไหว้เป็นครั้งที่สองและครั้งที่ สามเป็นลำดับ และหากเขาก็ยังขายของไม่ได้อีก หนนี้เขาจะนำของมาเซ่นไหว้ทั้งรูปปั้นขนาดใหญ่และรูปปั้นเล็กๆ ที่วางเรียงรายรอบๆ ทั้งหมดเพื่อวิงวอนให้ขายของได้ เขาพูดว่า: “โอ้ พระเจ้า, นี่คือภรรยาของพระองค์และนี่คือลูกสาวและลูกชายของ พระองค์” เขาจะสวดวิงวอนต่อรูปปั้นทีละตัวจนครบ สวดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุด และโดยทั่วไปหลังจากนั้นเขาก็มักจะขายของได้ง่ายขึ้น และเมื่อขายของหมดเขาจะบอกว่า: “พระเจ้าทำให้ฉันพึงพอใจมาก ดังนั้นฉันจึงต้องตอบแทนพระองค์” แล้วเขาก็นำแกะมาเชือดเพื่อบูชายัญ แบ่งเนื้อแกะส่วนหนึ่งไปบริจาค ส่วนที่เหลือนำไปถวายรูปปั้นตัวใหญ่และรูปปั้นเล็กๆ ที่วางเรียงรายรอบๆ นำหัวแกะไปเสียบบนยอดเสา จากนั้นช่วงกลางคืน จะมีหมาแอบเข้ามากินจนหมด แต่ชายผู้ถวายของเซ่นไหว้บอกว่า “แน่นอน, พระเจ้าพึงพอใจฉัน จึงกินของที่ฉันนำมาถวายจนหมด”

ผู้ ป่วยจะถูกทิ้งไว้ในเต๊นท์ที่แยกออกไปต่างหาก ทิ้งขนมปังและน้ำไว้ให้ ห้ามคนไปพูดคุย ห้ามทุกคนไปหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ป่วยคนนั้นเป็นคนจนหรือทาส หากเขาหายป่วย ก็สามารถกลับไปอยู่ในชุมชนได้ แต่หากเสียชีวิตชาวรูสก็จะเผาศพเสีย หากผู้ป่วยที่เสียชีวิตบังเอิญเป็นทาส ศพของเขาจะถูกทิ้งไว้ให้เป็นเหยื่อของสุนัขและนก หากชาวรูสจับโจรหรือขโมยได้ พวกเขาจะจับโจรไปแขวนบนต้นไม้สูง ปล่อยให้ร่างกายเน่าเปื่อยไปเอง

ฉัน ได้ยินว่าหากผู้ตายเป็นระดับหัวหน้า พิธีศพจะใหญ่โต อย่างน้อยที่สุดก็มีพิธีเผา ฉันสนใจจะรู้มากกว่านี้ ท้ายที่สุดมีคนมาบอกว่า มีหัวหน้าชาวรูสคนหนึ่งเสียชีวิตลง

พวก เขาวางศพลงในหลุม 10 วัน เอาหลังคาปิดไว้ เพื่อที่ระหว่างนั้นจะได้จัดเตรียมพิธีเผาศพ ตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับศพ หากผู้ตายเป็นคนจน ชาวรูสจะทำเรือลำเล็กให้ วางศพลงในเรือแล้วเผา แต่หากผู้ตายมีฐานะร่ำรวย ชาวรูสจะนำทรัพย์สมบัติของผู้ตายมาแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกให้ครอบครัวผู้ตายเก็บเอาไว้ ส่วนที่สองนำไปจ่ายค่าเสื้อผ้าของผู้ตายที่ใช้ในพิธีศพ ส่วนที่สามนำไปจ่ายค่าเหล้า ซึ่งชาวรูสจะดื่มเหล้าทั้งวันทั้งคืนจนกระทั่งถึงวันที่ทาสสาวของผู้ตายโดน ฆ่าเพื่อบูชายัญและเผาไปพร้อมกัน

เมื่อชายคน ที่ฉันกล่าวถึงได้เสียชีวิตลง ก็จะมีการถามบรรดาทาสหญิงของผู้ตายว่า “ใคร จะตายไปกับเขาด้วย?” เมื่อมีทาสหญิงคนหนึ่งตอบว่า “ฉัน เอง” จากนั้นเธอก็จะได้รับการดูแลอย่างดีจากหญิงสาวสองคน ซึ่งเป็นเพื่อนเธอไปทุกที่ ทำแม้กระทั่งใช้มือล้างเท้าให้ทาสหญิงคนนี้ ทาสหญิงจะดื่มเหล้าและร้องรำทำเพลงทุกวัน ให้ตัวเองมีความสุขที่สุดก่อนตาย

เมื่อ วันเผาศพมาถึง ฉันไปที่แม่น้ำเพื่อรอดูพิธีศพ ฉันเห็นพวกเขานำเรือมาที่ริมฝั่ง ตั้งเสาไม้ขึ้น 4 เสา รอบๆ เรือทำโครงไม้รูปร่างคล้ายเต๊นท์ พวกเขายกเรือขึ้นวางบนฐานไม้ ต่อมาพวกเขาเริ่มเดินเข้าและออกพร้อมพูดบางอย่าง ฉันไม่เข้าใจคำพูดของพวกเขา ในระหว่างนั้นผู้ตายก็ยังอยู่ในหลุม ต่อมาพวกเขาสร้างโดมไม้ไว้กลางลำเรือ คลุมด้วยผ้า นำโซฟายาวมาวางในเรือ ปิดไว้ด้วยฟูกผ้าปักดอกของกรีก เทพีแห่งความตายซึ่งเป็นสตรีสูงอายุก็เดินเข้ามา ลงไปนอนบนฟูกนั้น เธอเป็นผู้ดูแลเรื่องเสื้อผ้าและจัดการสิ่งของต่างๆ ของผู้ตาย และเธอก็จะเป็นคนฆ่าทาสหญิงที่ต้องนำไปเผาคู่กับเจ้านาย ฉันมองดูเทพีแห่งความตายแล้ว รูปร่างเธอใหญ่โตทีเดียว ทั้งแก่และอ้วน

เมื่อ ครบวันที่ 10 ชาวรูสนำศพมาที่เรือ ถอดเสื้อผ้าออกหมด ฉันเห็นเนื้อตัวศพกลายเป็นสีดำคล้ำเนื่องจากภาวะอากาศที่หนาวจัด พวกเขาเอาเหล้าเบียร์ ผลไม้ และเครื่องดนตรีที่เคยใส่ลงไปในหลุมออกหมด ศพมิได้มีกลิ่นเหม็นมาก เพียงแค่เนื้อตัวกลายเป็นสีดำคล้ำเท่านั้น จากนั้นพวกเขาก็แต่งตัวให้ศพ สวมกางเกง ถุงเท้า รองเท้าบู๊ท เสื้อนอก เสื้อคลุมแขนยาวปักดอกกระดุมทอง สวมหมวกปักดอกและขนสัตว์ให้ศพ ต่อมานำศพที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเข้าไปยังโดมในเรือ วางลงบนฟูก วางเหล้าเบียร์ ผลไม้ ต้นไม้หอม ขนมปัง เนื้อสัตว์ หอมใหญ่ ไว้ด้านหน้าศพ จากนั้นนำสุนัขซึ่งโดนหั่นเป็นสองท่อนใส่ลงในเรือ นำอาวุธของผู้ตายวางไว้ข้างๆ นำม้าไปวิ่งจนเหนื่อยหอบจากนั้นเอาไปฆ่าแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในเรือ ฆ่าไก่ตัวผู้และแม่ไก่แล้วโยนลงในเรือ ส่วนทาสหญิงที่จะต้องโดนบูชายัญไปกับเจ้านายก็ไปอยู่ที่นั่น เธอเข้าไปในเต๊นท์ทีละเต๊นท์ หัวหน้าเต๊นท์แต่ละเต๊นท์จะร่วมประเวณีกับเธอ จากนั้นพูดว่า “บอกเจ้านายเธอว่า ฉันทำดังนี้ก็ด้วยความรักที่มีต่อเขา”

บ่าย วันศุกร์ พวกเขานำทาสหญิงไปยังบางอย่างที่พวกเขาสร้างขึ้นมา รูปร่างคล้ายกรอบประตู ทาสหญิงเหยียบลงบนฝ่ามือของพวกผู้ชาย ที่ยกเธอขึ้นเพื่อมองดูกรอบนั้น เธอพูดบางอย่าง แล้วพวกเขาก็วางเธอลง จากนั้นก็ยกเธอขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เธอทำเหมือนครั้งแรก และก็ครั้งที่สาม จากนั้นพวกเขานำแม่ไก่มาให้เธอ เธอตัดคอไก่ โยนหัวทิ้งไป ผู้ชายนำตัวแม่ไก่ที่ตายแล้วใส่ลงในเรือ ฉันถามล่ามว่าพวกเขาทำอะไร ล่ามตอบว่า “ตอนพวกเขายกเธอขึ้นครั้งแรก เธอพูดว่า ‘ดู สิ! ฉันเห็นพ่อและแม่ของฉัน’ ครั้งที่สองเธอพูดว่า ‘ฉันเห็นญาติที่เสียชีวิตไปแล้วทุกคน นั่งอยู่’ ครั้งที่สามเธอพูดว่า ‘ฉัน เห็นเจ้านายของฉันนั่งอยู่ในสวรรค์ เป็นสวรรค์ที่สวยงามมีทุ่งหญ้าเขียวขจี มีคนรับใช้ผู้ชายล้อมรอบมากมาย เขาเรียกฉัน นำฉันไปอยู่ด้วย’ จากนั้นพวกเขานำเธอไปที่เรือ เธอถอดกำไลมือทั้งสองข้างออก ส่งให้เทพีแห่งความตายผู้ซึ่งจะฆ่าเธอ จากนั้นถอดแหวนสองวงออก ส่งให้ลูกสาวทั้งสองของเทพีแห่งความตายซึ่งเป็นผู้ดูแลเธอ

ต่อ มาญาติใกล้ชิดที่สุดของผู้ตายนำทาสหญิงที่ถูกฆ่าเพื่อบูชายัญวางลงเคียงข้าง ศพเจ้านายของเธอ นำไม้ใส่ลงในเรือ แล้วจุดไฟขึ้น จากนั้นเดินถอยหลังออกไป ไฟลุกท่วมเรือ เผาไหม้ทุกอย่างจนหมด”

Credit: http://atcloud.com/stories/56842
#ไวกิ้ง
Messenger56
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
5 มิ.ย. 53 เวลา 03:05 13,115 5 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...