อะไร นะ มัมมี่มีทุกชาติเลยหรือ

ที่มา patitta.wonglamsam.com

มัมมี่ (Mummy) คำว่า "มัมมี่" มาจากคำว่า "มัมมียะ" (Mummiya) ซึ่ง เป็นคำในภาษาเปอร์เซียร์ มีความหมายถึงร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ โดยชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของ ฟาโรห์ และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นแผ่นทรายของอียิปต์ อาศัยแรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายในพื้นที่รอบบริเวณ ของอียิปต์ เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของซากศพที่อาบด้วยน้ำยาตามพจนานุกรม ของ ราชบัณฑิตยสถาน คำว่า มัมมี่ หมายถึง ศพอาบน้ำยากันเน่าเปื่อยของอียิปต์โบราณ  แต่ถ้า เป็นพวกเราๆ ถ้าเห็นศพที่มีลักษณะแห้งไม่เน่าเปื่อย คงเรียกศพนั้นว่ามัมมี่ด้วยกันทั้งนั้น ส่วนพระไทยนั้น ถ้าแบบคนทำคิดว่าคงไม่มีแน่คิดว่าคงเป็นธรรมชาติ(ถ้าตอบแบบวิทยาศาสตร์ ก็คงเกิดจากสภาวะภูมิอากาศที่เหมาะสม และถ้าสังเกตุไปอีกหน่อย พระของไทยที่มีลักษณะศพแห้งส่วนใหญ่จะมีร่างกายผอมบาง เคยฟังคำตอบมาประมาณนี้ แต่เขาใช้ศัพท์ วิทยาศาสตร์ แต่จำไม่ได้กลัวตอบผิด แต่คำอธิบายของพระที่ไม่เน่าเปื่อยจะเป็นลักษณะนี้) แต่ท่านจะทำให้ตนเองเป็นมัมมี่ อย่างพระญี่ปุ่นหรือ ทิเบตรึเปล่านั้นไม่ทราบจริงๆ เพราะอย่างพระญี่ปุนหรือพระทิเบต ดูจากจุดประสงค์แล้วเพราะเนื่องจากในยุคของท่านนั้น เกิดความทุกข์ยาก ประชาชนไร้ที่พึ่ง จึงต้องเปลี่ยนร่างกายของท่านเอง ให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่ประชาชนจะได้รู้สึกว่ามีที่พึ่ง มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ 

อ๊อตซี่ (OTZI)

(OTZI) อ๊อต ซี่เป็น มัมมี่ที่เกิดขึ้นโดยสภาพภูมิอากาศอันเหมาะสม อ๊อตซี่เป็นศพของชายที่มีชีวิตอยู่ในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ศพของอ๊อตซี่นั้นถูกพบอยู่บนยอดเขา ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,210 เมตร ระหว่างหุบเขา (Schnalstal)ของประเทศอิตาลี กับ(Ventertal)ของ ออสเตรีย เมื่อศพของอ๊อตซี่อยู่ระหว่าง สอง ประเทศนี้จึงมีการแย่งศพ ของอ๊อตซี่เกิดขึ้น แต่ประเทศผู้ที่ได้ศพของอ๊อตซี่ไปนั้นคือประเทศอิตาลี เพราะศพของอ๊อตซี่อยู่ลึกเข้ามาในอิตาลี ห่างจากเส้นแบ่งเขตแดน 92 เมตร ปัจจุบันอ๊อตซี่ ถูกเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เมืองบอลโน


ศพของมัมมี่โดยราดิโอคาร์บอน เพื่อบ่งบอกอายุที่แท้จริงของอ๊อตซี่โดยใช้เนื้อเยื่อจากศพผลปรากฎว่าอ๊อต ซี่มีชีวิตอยู่เมื่อ 5,300 ปีมาแล้วโดยประมาณ และจากการศึกษากระดูกของอ๊อตซี่ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นชายที่มีอายุ ประมาณ 46 ปี สูง 159 เซนติเมตร ถิ่นกำเนิดของเขาอยู่ที่ตอนกลางของภาคเหนือของยุโรป จุดที่พบศพอ๊อตซี่ นักวิชาการมีความเห็นว่าอ๊อตซี่ไม่ได้ตายตรงจุดที่พบหากแต่ลอยมาจากที่อื่น ในช่วงที่น้ำแข็งเกิดการละลาย ในรูปคือท่าตอนที่พบศพของอ๊อตซี่ครั้งแรก น้ำแข็งและความหนาวเย็นของสภาพภูมิอากาศของประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศพ ของอ๊อตซี่เป็นมัมมี่ไปโดยปริยาย ซึ่งถือว่าอ๊อตซี่เป็นมัมมี่ที่เก่ากว่ามัมมี่อียิปต์อีกด้วย

มัมมี่ต่อไปนี้เป็นมัมมี่ที่เกิดจากธรรมชาติ เช่นเดียวกันครับ

ซึ่ง เกิดจากถ่านหินพีท Peat ซึ่งถ่านหินนี้เป็นตัวช่วยเก็บรักษาสภาพร่างกาย และใบหน้าอย่างดีของมนุษย์ให้มีชีวิตอยู่ เมื่อสองพันปีก่อนซึงมนุษย์ที่เจอในบ่อถ่านหินพีทนั้นเราเรียกว่ามนุษย์ในตม Bog Bodies โดยในบ่อถ่านหินเหล่านี้ได้มีการพบร่างของมนุษย์หลายครั้ง คนงานขุดถ่านหินพีท ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษได้พบศพของมนุษย์เพศหญิง ซึ่งต่อมาเรียกว่าสตรีแห่งลินโดว์ ซึ่งศพดังกล่าวมีอายุ 1750 ปี

ศพบุรุษแห่งลินโดว์

มนุษย์โท ลลันด์ Tollund

 

 

ประเทศอีกประเทศหนึ่งทีมีชื่อเสียงในการพบมนุษย์ ในตม คือ ประเทศ เดนมาร์ค ซึ่งค้นพบศพต่อมาเรียกว่า มนุษย์โทลลันด์(Tollund) ศพ ที่พบ เหล่านี้สันนิษฐาน ว่าเป็นผู้ที่ถูกนำมาบูชายัญค่ะ เพราะลักษณะการถูกฆาตกรรมที่ใช้วิธีใกล้เคียงกัน

ส่วน มาก จะถูกรัดคอด้วยเชือกและหย่อนลงมาในบ่อถ่านหินพีท หรือไม่ก็ถูกมัดมือมัดเท้าแล้วเชือดคอ และยังพบสิ่งของมีค่าอีกด้วย เดนมาร์คยังพบศพมนุษย์ในตมจากโกบัลเล(Grauballe) และแหล่งอื่นๆกว่า อีก 170 ศพด้วย ในรูปคือศพมนุษย์แห่ง

โกรบัลเลซึ่งจาก สภาพแสดงใหเห็นการถูกสังหารโดยการเชือดคอ

มัมมี่ชาชาโปยา (Chachapoya)

มัมมี่ต่อไปนี้เกิดจากการตั้งใจที่จะรักษาสภาพศพ ของมนุษย์ เป็นมัมมี่ของชนเผ่าชาชาโปยา (Chachapoya) ซึ่งอยู่ใน ประเทศเปรู ชนเผ่านี้อยู่มาจนถึง ค.ศ.1470 จึงถูกชาวอินคา รุกรานและเข้าครอบครองจนสูญสิ้นไปจากโลก ขอกล่าวถึงสุสานของเขาก่อนสุสานของชาวชาชาโปยา ซึ่งเรียกว่า ชัลปาส์ (Chullpas) ถูกสร้างอยู่บนชะง่อนผา มีลักษณะเป็นเรือนแถวยาว หน้ากว้าง 150 ฟุต ลึก 15 ฟุต และสูง 10 ฟุต แบ่งเป็น 6คูหา ตัวเรือนก่อด้วยหินปูนสกัดเป็นก้อนวางเรียงกันไป และประสานกันไว้ด้วยโคลนจากดินเหนียว ผนังบางคูหาฉาบทับด้วยปูนขาว ด้านหลังเป็นหน้าผา หลังคานั้นมุงด้วยปีกไม้หนาถากหยาบๆวางเรียงชิดกัน ภายในคูหาท่อนไม้ถูกวางเรียงยกเป็นพื้นขึ้นเพื่อวางมัมมี่ ช่องหน้าต่างทุกช่องจะหันออกสู่ทะเลสาบ ในรูปคือมัมมี่หล่นทะลักออกมาจากสุสานเรือนแถว เนื่องจากถูกชาวบ้านมารื้อค้นหาสมบัติ

มัมมี่ ของชาวชาชาโปยากระทำโดยการอาบน้ำยา อวัยวะภายในช่องท้องก็ถูกควักออกมาจนหมดป้องกันการเน่าเปื่อย ผิวหนังก็ผ่านกรรมวิธีบางอย่างที่ทำให้คล้ายหนังฟอก บริเวณใบหน้าก็นำฝ้าย ยัดเข้าไปในปากและรูจมก เพื่อมิให้รูปหน้ายุบลง มัมมี่ของชาวชาชาโปยา จะถูกห่อไว้และมีด้ายปักเป็นรูปหน้าคร่าวๆ

 

มัมมี่ชาวอินคา

 

คราว นี้มาถึงมัมมี่ของชาวอินคา ได้มีการค้นพบมัมมี่ของชาวอินคาเป็นสุสานอยู่บนยอดเขาในประเทศเปรู ยอดเขานี้มีชื่อว่า เนวาโด แอมปาโต (Nevado Ampato) มี ความสูง 20,700 ฟิต เป็นภูเขาไฟซึ่งดับแล้ว สุสานของชาวอินคาจริงๆนั้น เป็นหลุมตื้นๆที่ฝังมัมมี่เด็กสาวชาวอินคา อายุราว 15 ปี ตัวหลุมเป็นรูปทรงกลม ตัวมัมมี่ถูกฝัง อยู่ในท่านั่งกลางหลุมแคบๆ ใกล้กับมัมมี่พบเปลือกหอย กระดูกลามา ถุงใส่เสื้อผ้า 2 ถุง และภาชนะดินเผา ที่มีทั้งเมล็ดข้าวโพดและซังของมัน (การสำรวจครั้งนี้พบ มัมมี่หลายศพ และเป็นเด็กสาว อายุประมาณ 15 ปี) นี่ก็เป็นมัมมี่จากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพราะ บางส่วนของพื้นที่นี้ก็เป็นน้ำแข็งจน ทำให้คณะสำรวจ ทำงานกันค่อนข้างลำบาก จากการตรวจสอบมัมมี่และดูจากสภาพสิ่งของบริเวณที่พบมัมมี่ทำให้รู้ว่าเธอถูก นำมาบูชายัญ ในรูปเป็นการนำมัมมี่มา ตรวจทาง

 

มัมมี่ชาว อินคา พบโดยคณะสำรวจชาวสหรัฐอเมริกา มัมมี่นี้มีอายุประมาณ 500 ปี  ร่างของมัมมี่นี้ถูกค้นพบที่ภูเขา ซาร่า ซาร่า(Sara Sara) ซึ่งเป็นมัมมี่ที่เกิดจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น ตอนที่พบร่างมัมมี่นี้แข็งเป็นน้ำแข็งเลย เป็นมัมมี่ของสตรีซึ่งเรียกกันว่า ซาริต้า (Sarita) จาก การตรวจสอบมัมมี่ซาริต้านั้นจึงพบว่าเธอถูกนำมาบูชายัญเทพเจ้า (อีกแล้ว) เพราะคนในสมัยนั้นถือว่าการที่คนในครอบครัวถูกนำมาบูชายัญถือว่าได้รับ เกียรติสูงสุดแก่วงศ์ตระกูลของตนเลยทีเดียว ซาริต้าตอนตายเธออายุ 15 ปี เธอถูกของแข็งทุบที่ศรีษะจนถึงแก่ความตาย (ในรูปคือ มัมมี่ของซาริต้า) ตัวอย่างสิ่งของที่พบใกล้ๆสุสานของมัมมี่ซาริต้า

มัมมี่อีบาลอย(ฟิลิปปินส์)

 

เมื่อ บุคคลนั้นตาย ผู้ที่เป็นบุตรชายคนโตก็จะพ่นควันบุหรี่เข้าไปในปากของผู้ตาย โดยเชื่อว่าควันบุหรี่จะทำให้อวัยวะภายในไม่เน่า และนี่คือสาเหตุว่า ทำไมมัมมี่ฟิลิปปินส์(ชาวอีบาลอย) ที่พบจึงอ้าปากกว้าง ต่อมาก็จะเอาศพนั้นไปชำระล้าง ร่างกายให้สะอาด และนำมาผูกติดกับม้านั่งในท่านั่งชันเข่าคู้ จากนั้นก็จะทำ การก่อไฟสุมควันใต้ที่นั่งนั้นเพื่อรมควันให้ศพแห้ง พวกเขาจะวางชาม ไว้ใต้ที่นั่งเพื่อรองรับน้ำ และไขที่ไหลออกมาซึ่งเขาถือว่าเป็นของขลัง ชาวอีบาลอยจะไม่เอาอวัยวะภายในของ ศพออกมาเลยเพราะพวกเขาเชื่อว่า "ร่าง กายเป็นที่สิงสถิตของ วิญญาณ จึงไม่ควรเอาอะไรออกไป" พอของเหลวในร่างกาย ไหลออกมาหมด ก็จะนำร่างนั้นไปตากแดด เพื่อให้แห้งเร็วขึ้น จากนั้นผู้มีอาวุโสทั้งหลายในหมู่บ้าน ก็จะช่วยกันลอกเอาหนังกำพร้าออก แล้วใช้ใบไม้บางอย่างถูตามตัว ก็เป็นการเสร็จพิธี การทำมัมมี่ของชาวอีบาลอย ในฟิลิปปินส์(ในรูปแม้มัมมี่จะถูกลอก หนังชั้นกำพร้าออก แต่ก็ยังเห็นลอยสักได้อย่างชัดเจน)

โลง ศพของมัมมี่ชาวอีบาลอยจะทำด้วยไม้สน ซึ่งขึ้นอยู่แถวที่เก็บมัมมี่ของผู้ตาย โดยโลงจะทำเป็นรูปไข่ให้มีขนาดพอดีกับมัมมี่ที่อยู่ในท่าชันเข่าคู้ เหตุที่จัดท่าให้มัมมี่อยู่ในลักษณะนี้เนื่องจากสุสานของเค้าอยูบนเขาสูง จะได้แบกขึ้นไปยังสุสานได้โดยสะดวก

 

มัมมี่ของชาวชินชอร์โร(Chinchorro)

มัมมี่ของชาวชินชอร์โร(Chinchorro) ซึ่งพวกเขามีชีวิตอยู่เมื่อราวๆ 8,000-3,000 ปีที่แล้ว มัมมี่ถูกค้นพบที่แถวๆเมืองอริก้า(Arica)ประเทศชิลี นักโบราณคดีถือว่า ชาวชินชอร์โร่เป็นชนกลุ่มแรก ที่ทำมัมมี่เพื่อรักษาสภาพศพของคน ที่เขารัก ให้คงอยู่ตลอดไป กระบวนการทำมัมมี่ของ ชาวชินชอร์โร่มี 2 แบบ
แบบ แรกเริ่มด้วย (จะบอกว่ามันสยองนิดนึงนะ) เขาจะนำศพมาตัดส่วนหัวออกก่อน จากนั้นก็เป็นขา และส่วนต่างๆของศพ นั้นจะถูกลอกหนังออกมาก่อน แล้วนำมาประกอบ เข้ากับศพในตอนหลัง จากนั้นก็เริ่มทำ การคว้านเอาอวัยวะภายในออกมาทั้งหมด ส่วนร่าง ที่เหลือจะถูกทำให้แห้งด้วยถ่านร้อนๆ ส่วนท่อนขาที่ถูกแยกออกมา จากศพจะถูกผ่าเพื่อนำเอากระดูกออกมา แล้วนำไปทำความสะอาดจากนั้นก็ตากให้แห้ง มาพูดถึงสมองบ้างดีกว่า สมองนั้นก็เอาออกมาจากกะโหลกทั้งหมด เมื่อทุกส่วนถูกทำ ความสะอาดหมดแล้ว จึงนำมาต่อเข้าด้วยกัน โดยจะมีการเสริมแรงให้กับกระดูก ที่สอดเข้าไปที่เดิมอีกครั้งด้วยการผูกกระดูกเข้ากับไม้ ช่องว่างภายในร่างกายจะถูกอุดด้วยหญ้าแห้งและขี้เถ้า การประกอบส่วนต่างๆของมัมมี่จะนำ ส่วนทั้งหมดของร่างมาเรียงตามตำแหน่งเดิมและพอกด้วยขี้เถ้า เมื่อพอกทุกส่วนหมดแล้ว หนังที่ลอกไว้ เมื่อช่วงแรกก็นำมาวางไว้ที่ตำแหน่งเดิม และต่อมาก็ทาร่างมัมมี่ด้วยสารสีดำที่ได้มาจากแร่แมงกานีส ส่วนใบหน้าจะถูกวาดขึ้นอย่างคร่าวๆ

มัมมี่ ของชาวชินชอร์โร่แบบที่สอง จะไม่มีการแยกส่วนต่างๆของร่างออกมา เขาจะลอกหนังออกมากองตรงส่วนข้อเท้า (เหมือนม้วนถุงเท้าลงมาที่ข้อเท้าเก่งจริงๆไม่รู้ทำได้ยังไง) และจะใช้มีดเฉือนศพออกเป็นแนวยาวควักเอาอวัยวะภายในออกมา แล้วก็นำร่างไปทำให้แห้งด้วยถ่านร้อนๆ และก็ทำแบบวิธีแรกโดยเอาไม้มาช่วยค้ำยันร่างไว้เหมือนกัน และเมื่ออุดช่องว่างของมัมมี่เรียบร้อยแล้วก็จะม้วนแผ่นหนังที่กองไว้ตรงข้อ เท้ากับเข้าที่เดิม จากนั้นก็พอกด้วยขี้เถ้าและทาสารสีดำเช่นเดียวกับวิธีแรก เป็นอันเสร็จกับการทำมัมมี่แบบที่2 จะเห็นว่ามัมมี่ชินชอร์โร่ ถูกแยกเป็นส่วนๆอย่างเห็นได้ชัด มัมมี่ชาวชินชอร์โร่ที่มีหน้ากากและมีการนำเส้นผมมาจัดวาง

มัมมี่สุสานคาปูซีน

 

ต่อ มาจะพามาชมมัมมี่ที่เกาะชิชิลีประเทศอิตาลีค มาพบกับมัมมี่ซึ่งอยู่ที่สุสานคาปูซีน สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นมีจุดประสงค์เพื่อเป็นที่เก็บศพของพี่น้องตระกูลคาปู ซีน เมื่อราว 500 ปี มาแล้ว ต่อมาได้แปลงสภาพเป็นสุสานของคนรวยๆหรือขุนนางชั้นสูง ที่เป็นที่นับหน้าถือตาของสังคม ทหารที่ประกอบวีรกรรมดีเด่น ศิลปิน ตลอดจนถึงนักบวช ในสมัยนั้นการ ที่ได้นำศพมา ทำเป็นมัมมี่และ นำมาเก็บไว้ยังสุสานแห่งนี้ถือว่า มีเกียรติเป็นอย่างมาก จำนวนศพในสุสานมีอยู่ราวๆ 8,000 ศพ นักบวชรูปแรกที่ศพ ได้รับการทำเป็น มัมมี่เก็บไว้ที่สุสานคาปูซีนนั้น คือ ภราดา ซิลเวสโตร กุบบิโอ ศพของนักบวชรูปนี้ถูกดองเป็นมัมมี่ เมื่อปี ค.ศ.1599 โดย ศพจะถูกนำอวัยวะภายในออกมาให้หมดก่อน แล้วนำร่างไป วางไว้ที่ท่อดินเผา ปล่อยให้น้ำเลือด และน้ำเหลืองไหลออก จนแห้ง เมื่อศพแห้งแล้วจะนำมาชำระล้างน้ำส้มสายชูจนสะอาดแล้วราดด้วยน้ำสมุนไพรที่ มีกลิ่นหอม จากนั้นก็นำไป ตากแดดให้แห้งแล้ว นำเสื้อผ้ามา ใส่ให้มัมมี่ร่างนั้น ศพอื่นก็ถูกทำมัมมี่ในวิธีเดียวกัน แล้วก็นำมาจัดท่ายืน ท่าแขวนให้อยู่ในลักษณะที่เหมาะสมต่างๆกัน โดยจะแยกประเภท ของมัมมี่แล้วจัดแขวนไว้คนละส่วน แยก ชาย หญิง นักบวช ทหาร ฯ ไม่นำมาปะปนกันค่ะ ศพบางศพก็มีการทำมัมมี่โดยใช้สารเคมีด้วย โดยนำ ศพนั้นไปแช่ในสารละลาย อาร์เซนิกและแมกนีเซียด้วยซึ่งจะ ทำให้ผิวของมัมมี่ร่างนั้นผิวหนังเต่งตึง ผิดกับมัมมี่ร่างอื่นที่ไม่ได้แช่สารนี้ที่ผิวหนังแห้ง

มัมมี่ทิเบต

 

เป็นมัมมี่ภิกษุชาวทิเบต ซึ่งภิกษุมัมมี่รูปนี้เสียชีวิตในปี ค.ศ.1475 เกิด จากการที่ภิกษุมัมมี่รูปนี้เห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อน อดอยากยากแค้นท่าน จึงเปลี่ยนร่างของตนให้เป็น มัมมี่ศักดิสิทธิ์สำหรับให้ผู้คนกราบไหว้บูชา เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนที่หมดหวัง เผื่อเวลาท่าน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ท่านจะได้บันดาลให้ประชาชนมีอาหาร การกินที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นค่ะ ภิกษุท่าน นี้เริ่มทำสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก และท่านได้นำเอาแถบผ้ามาคล้องคอและโยงไว้ใต้น่อง เพื่อเมื่อท่านนั้นเหยียดน่องออก ผ้าที่ผูกโยงไว้ก็จะขยับ เข้ารัดคอทีละนิดๆ เพื่อลดปริมาณออกซิเจนที่หายใจเข้าไป การอดอาหารและลดออกซิเจนจะทำให้ขบวนการเมตาบอลิซึ่มของร่างกายลดลงๆ จวบจนกระทั่งท่าน ได้หยุดหายใจไปสิ้นเชิง

มัมมี่คณะสำรวจ เซอร์จอห์น แฟรงคลิน

 

มัมมี่ ต่อไปนี้เกิดจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น มัมมี่ที่พบเป็นลูกเรือของคณะสำรวจ เซอร์จอห์น แฟรงคลิน ซึ่งมุ่งหน้าที่จะไปสำรวจเส้นทางสู่มหาสมุทรแปซิฟิก มัมมี่มีอายุ140กว่า ปีแล้ว นี่ก็เป็นมัมมี่ลูกเรือ อีกร่างหนึ่งที่ต้องนำชีวิตมา ทิ้งที่เกาะบีชี และการเดินเรือสำรวจเส้นทางในครั้งนี้ก็พบกับความล้มเหลวแม้แต่ เซอร์จอห์นผู้นำ คณะทีมสำรวจก็ต้องนำชีวิต ไปทิ้งที่เกาะคิงวิลเลี่ยมอีกด้วย ที่เกาะนี้ก็มีลูกเรือตายอีกหลายคนด้วย สาเหตุการตายที่สำคัญของคณะสำรวจนี้คือ อาหารกระป๋อง เนื่องจากกระป๋องบรรจุอาหา รนี้ส่วนหัวท้าย ของกระป๋องถูกเชื่อมด้วย ดีบุกและตะกั่ว และตะกั่วเหล่านี้เองก็ไหลมาปนเปื้อนกับอาหารที่บรรจุอยู่ในกระป๋อง ซึ่งคณะสำรวจนี้กินอาหารกระป๋องที่ว่าเป็นเวลากว่า 2 ปี สารตะกั่วจึงเข้าไปสะสม อยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมากมีผลต่อ ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ จากการตรวจสอบกระดูกของลูกเรือชิ้นหนึ่งผลบ่งบอกว่ามีการกินกันเองด้วย

มัมมี่อียิปต์

 

 

มัมมี่ ที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดีคือมัมมี่อียิปต์โบราณ แต่ในรูปเป็นมัมมี่ที่เกิดจากสภาพอากาศอันร้อนและแห้งแล้ง เป็นมัมมี่ที่อยู่ในยุคสมัยก่อนที่มีการปกครอง โดยฟาโรห์ ซึ่งในสมัยนั้นชาวอียิปต์ยังไม่รู้จักวิธีการทำมัมมี่ สุสานของเขาเป็นแบบเรียบง่าย โดยขุดหลุมให้ลึกลงไป แล้วนำเอาศพมาวาง นำเอาสมบัติของผู้ตาย เช่นลูกปัด โถใส่อาหาร วางไว้รอบๆร่างของผู้ตาย ศพนั้นไม่ได้มีการนำเสื้อผ้ามาใส่ให้ และไม่มีการนำทรายมากลบร่างผู้ตายด้วย

ต่อ มาเป็นยุคที่อียิปต์รู้จักวิธีการทำมัมมี่แล้ว แต่ขอไม่บรรยาย ถึงวิธีใน การทำมัมมี่เพราะในเว็บนี้ได้มีผู้เขียนไว้แล้วแต่จำ ไม่ได้ว่าอยู่ในกระทู้ไหนและท่านใดเป็นเป็นผู้เขียน(พิมพ์) (ใน รูปคือมัมมี่ของเซติที่1พระองค์ เก่งกาจทางด้านการรบเป็นอย่างมากและ พระองค์ก็ยังส่งเสริมและให้มีการพัฒนาทางด้านศิลปะ จนถือว่า เป็นยุคที่ศิลปะมีความงดงามสูงสุดอีกยุคหนึ่งด้วย)

มัมมี่ ฟาโรห์เซติที่ 2

รูปมัมมี่ ของ(TUTMOSIS) ถ้า ใช่นะเพราะยังเป็นมัมมี่ที่นักโบราณคดีถกเถียงกันอยู่เนื่อง จากพระศพมือไปวางอยู่ในท่าของสามัญชน (แขนสองข้างแนบลำตัว) และผลของการเอ็กซเรย์มัมมี่นี้ก็ตายตอนอายุ 20 ปี ซึ่งไม่ตรงกับประวัติการรบที่โชกโชนของพระองค์

TUTMOSIS ที่ 3 พระองค์ เชี่ยวชาญทางด้านการรบเป็นอย่างมากจนได้รับฉายาว่า "นโปเลียน แห่งอียิปต์"เป็นมัมมี่รายแรกที่ได้ปรากฎโฉมต่อหน้าสาธารณะชน

 

TUTMOSIS ที่ 4 คู่แก่งแย่งบัลลังค์ของฮัทเซพซุท

 

รามเสสที่ 1

รามเสสที่2 ถือว่าเป็น ฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอียิปต์

รามเสสที่ 3 เป็นมัมมี่ ฟาโรห์พระองค์แรกที่มีการทำตาปลอม และเปลี่ยนท่านอนโดยเอามือสอง ข้างวางไขว้ไว้ที่หน้าอกและแบมือออก ถือเป็นฟาโรห์ผู้ทรงอำนาจของ อียิปต์องค์สุดท้าย

 

รามเสสที่ 4

 

 

TIYI เสด็จย่าของ ฟาโรห์ตุตันคามุน

 

ฟาโรห์ตุตัน คามุน

ฟาโรห์แห่ง ราชวงศ์ที่ 17 ฟ

Credit: http://atcloud.com/stories/50883
#มัมมี่
Messenger56
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
4 มิ.ย. 53 เวลา 16:27 5,241 13 104
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...