ชีวิตของเขานั้นแสนสั้น แต่ เป็นเพราะความที่มีชีวิตอยู่ไม่นานนี้เองที่ทำให้เขาเป็นอมตะในวงการ ภาพยนตร์และภาพถ่ายของผู้ชายในยุคต่อๆ มา
เจมส์ ดีน (James Dean)
ผลงาน ภาพยนตร์
Fixed Bayonets (1951)
Sailor Beware (1952)
Deadline - U.S.A. (1952)
Has Anybody Seen My Gal? (1952)
Trouble Along the Way (1953)
East of Eden (1955)
Rebel Without a Cause (1955)
Giant (1956)
เจมส์ ดีน หรือ เจมส์ ไบรอน ดีน (James Byron Dean) เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1931) ที่เมืองแมริออน มลรัฐอินดีแอนา เป็นบุตรชายของนาย 'วินตัน ดีน' (ช่างเทคนิคทางทันตกรรม) กับ มิลเดรด ต่อมาทั้งหมดก็ได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เมือง ซานตาโมนิก้า รัฐแคลิฟอร์เนีย ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ 9 ปีได้เสียแม่ไปด้วยโรคมะเร็ง และพ่อของเจมส์ตัดสินใจส่งเขากลับไปอยู่กับญาติซึ่งเป็นลุงกับป้าที่เมืองแฟร์เมาท์ มลรัฐอินดีแอนา
ขณะที่เรียนหนังสือเจมส์ ดีนทำกิจกรรมมากมาย ทั้งการโต้วาที เล่นบาสเกตบอล แต่ที่เจมส์ให้ความสนใจมากที่สุดคือการแสดงละครเวที และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นให้เจมส์สนใจจะเป็นนักแสดง จนกระทั่งปี 1949 เมื่อเจมส์ ดีนจบมัธยม อายุได้ 18 ปี ก็ได้ย้ายกลับไปอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยงที่แคลิฟอร์เนีย เพื่อเตรียมเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยซานตาโมนิก้า ต่อมารเจมส์ได้ย้ายจากมหาวิทยาลัยซานตาโมนิก้า ไปมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเพื่อเรียนการแสดง ที่เขาชอบแทน ซึ่งให้เขาทะเลาะกับพ่อและถูกไล่ออกจากบ้าน
หลังจากที่ต้องออกมาอยู่นอกบ้าน เจมส์ ดีนก็จำต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย และต้องหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเองโดยทำงานรับจ้างหลายอย่าง รวมไปถึงการทำงานเป็นเด็กรับรถที่โรงถ่ายของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ได้มีโอกาสเล่นหนังโฆษณาของ โคคา-โคล่า และเป็นตัวประกอบในรายการเกมโชว์อยู่บ้าง แต่เมื่อเขาเห็นว่าไม่ก้าวหน้า เจมส์ ดีนจึงตัดสินใจออกเดินทางไปนิวยอร์กตามคำแนะนำของเพื่อน
เมื่อมาถึงนิวยอร์ก เจมส์ ดีน ได้สมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนการแสดงของ ลี สตราสเบิร์ก ครูสอนการแสดงที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ซึ่ง ลี สตราสเบิร์กเจ้าของโรงเรียนก็เห็นแววดาราของเจมส์ ก็เลยรับไว้เป็นศิษย์โดยเก็บค่าเรียนเพียงเล็กน้อย จนกระทั่ง ในยุคช่วงต้นทศวรรษที่ 50 เจมส์ ก็ได้เริ่มมีผลงานการแสดงทางโทรทัศน์เล็กๆ น้อยๆ มากมาย เช่นรายการ Kraft Television Theater, Studio One, Lux Video Theatre และ Robert Montgomery Presents เป็นต้น
ต่อมา เจมส์ ดีน ก็เริ่มก้าวเข้าสู่วงการหนังจอใหญ่ โดยเริ่มจากการเป็นตัวประกอบโดยไม่ได้เครดิตในหนังเล็กๆ หลายเรื่อง จนกระทั่งในปี 1955 เจมส์ ดีน ก็ได้มีโอกาสรับบทเด่นเป็นครั้งแรกในหนังเรื่อง 'East of Eden' โดยรับบทเป็นตัวละครสำคัญชื่อ 'คัล แทรกส์' ซึ่ง บทนี้เองที่ส่งผลให้ เจมส์ ดีน โด่งดังและเป็นที่กล่าวถึงเป็นอย่างมาก
เจมส์ ดีน ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สองครั้ง สองปีซ้อนจากหนังที่ได้แสดงไว้ คือจากเรื่อง 'East of Eden' ใน ปี 1955 และ 'Giant'ใน ปี 1956 (ซึ่งหนังเรื่อง Giant ถ่ายทำเสร็จในปี 1955 แต่ออกฉายในปี 1956) ทำให้เจมส์ ดีนเป็นเจ้าของหลายสถิติทั้งเป็น '1 ใน 5 นักแสดงในประวัติศาสตร์ออสการ์ที่ได้เข้าชิงรางวัลจากการรับบทนำครั้งแรก' และยังเป็น 'นักแสดงคนแรกของประวัติศาสตร์ออสการ์ ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลังจากที่เสียชีวิตแล้ว
ในวันที่เจมส์ดีนเสียชีวิตนั้นเป็นวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1955 ตอนบ่าย เจมส์ ดีน และช่างยนต์ของเขา 'รอล์ฟ วูเทอริช' ได้ขับรถ Porsche 550Spyder สีเงินเปิดประทุนคู่ใจของเขา ออกจากเมืองลอสแอนเจลิสหลังปิด กล้องภาพยนตร์เรื่อง " Giant " ( เจ้าแผ่นดิน ) ไปได้ 8วัน เพื่อไปเข้าร่วมงานแข่งรถที่เมืองซาลีน่าส์ แคลิฟอร์เนีย ขณะที่เขาขับรถอยู่บนทางหลวงสาย 466 ช่วงเมืองโชเลม แคลิฟอร์เนีย รถจากเลนฝั่งตรงข้ามซึ่งขับโดยนักศึกษาวัย 23 ปี ชื่อนาย 'โดนัลด์ เทิร์นอัพสีด'ซึ่งไม่ ได้สังเกตเห็นรถของเจมส์ ได้เลี้ยวตัดหน้าเลนของเจมส์ เพื่อจะเข้าสู่ทางหลวงสาย 41 ทำให้รถทั้งสองคันประสานงากันอย่างจัง
ผลจากอุบัติเหตุจากรายงานของตำรวจที่ประสบเหตุ พบว่านายโดนัลด์ เพียงจมูกฟกช้ำและได้รับบาดแผลที่ศีรษะด้านหน้าเล็กน้อย รอล์ฟ วูเทอริช ช่างยนต์ กระเด็นตกจากรถขากรรไกรหัก และได้รับบาดเจ็บตามร่างกายเล็กน้อย ในขณะที่เจมส์ ดีน ได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส ตำรวจจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที เขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิ้นใจเมื่อเวลา 17.59 น. ของวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1955 ซึ่งขณะนั้น เจมส์ ดีน มีอายุได้เพียง 24 ปี
ภายหลัง เจมส์ดีนตายมีการสืบค้นอะไรหลายๆ เรื่อง ที่น่าสนใจคือรถยนต์ที่เจมส์ ดีนขับนั้นภายหลังถูกนำมาขายต่อเป็นทอดๆ และเจ้าของที่ได้รถคนนั้นไปก็ประสบชะตากรรมที่เคราะห์ร้ายต่างๆ นาๆ จนหลายๆ คนเชื่อว่ามันเป็นรถอาถรรพ์
รายแรกที่ประเดิมก็คือ ช่างซ่อมรถยนต์คนหนึ่งที่เข้าไปตรวจสภาพรถยนต์ที่พังยับที่จอดไว้ในอู่ ระหว่างที่ตรวจอยู่นั้น จู่ ๆ ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์อันหนักอึ้งก็หล่นลงมา ทับขาของช่างซ่อมคนนั้น จนกระดูกขาแหลกละเอียดทั้ง 2 ข้าง
รายที่ 2 ก็คือ นายแพทย์ผู้หนึ่ง ซึ่งได้ซื้อเครื่องยนต์จากรถมรณะคันนี้ไปใส่ในรถแข่งของเขา ต่อมา เค้าก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างแข่งขัน สาเหตุเกิดจากการที่รถยนต์ของเขาควบคุมไม่ได้ แล้วมันก็พุ่งเข้าชนรถแข่งคันอื่น ๆ จนมีคนตายไปด้วยอีก 1 ศพ
รายที่ 3 เป็นอู่ โดยอู่นี้ได้นำรถของเจมส์ ดีนมาซ่อมแซมเพื่อที่จะนำไปตั้งแสดงเป็นอนุสรณ์แก่แฟน ๆ เจมส์ ดีน แต่ในระหว่างที่กำลังซ่อมรถอยู่นั้นเอง ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ยังดีที่ดับไฟได้ทัน แล้วเจ้ารถมรณะคันนี้ก็นำไปตั้งแสดงที่แชคคราแมนโค แต่ความเฮี้ยนก็ยังไม่เลิก
รายที่ 4 เป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง กำลังยืนดูซากรถยนต์อยู่ดี ๆ รถมันก็เกิดหล่นลงมาทับวัยรุ่นคนนั้นทันที จนกระดูกซี่โครงหัก และอาการปางตาย
รายที่ 5 คราวนี้เป็นรถบรรทุก ที่บรรทุกรถมรณะคันนี้ไปแสดงที่โอเรกอน พอเข้าถึงตัวเมือง ปรากฎว่า รถบรรทุกคันนั้น จู่ ๆ ก็เสียหลัก เอียงถลาแล้ววิ่งเข้าชนร้านค้าที่ตั้งอยู่ริมถนนแถวนั้นจนราบเป็นหน้ากลอง คนบาดเจ็บเป็นสิบ ๆ คน
ตอนนี้ก็มีหลายคน ที่เริ่มคิดว่าเจ้ารถคันนี้มีอาถรรพ์ แน่ ๆ ก็จึงนำเจ้ารถมรณะคันนี้เก็บไว้ในอู่ที่หนึ่ง แล้วมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 3 ปี ต่อมาก็มีคนที่คิดจะนำมันมาซ่อมเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเจมส์ ดีน แต่อาถรรพ์มันก็ยังไม่หมด ระหว่างที่นำมันมาตรวจสภาพนี้เอง ก็มีเสียงดังโครมใหญ่ เล่นเอาทุกคนในอู่นั้นกระเจิงเป็นแถว แต่คราวนี้ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ว่าเจ้ารถมรณะนั้นมันกลับแยกชิ้นส่วนเองต่อหน้าต่อตาช่างเครื่องทุกคนใน อู่ คราวนี้ทุกคนก็เลิกคิดที่จะนำมาซ่อมแซม เพราะกลัวมันจะเฮี้ยนอีก แล้วก็ปล่อยทิ้งเจ้ารถมรณะไว้ไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เกิดเรื่องอีกเลย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ใครบอกได้ว่าเจ้ารถมรณะคันนี้ มันมีอำนาจอาถรรพ์อันใดที่มันกลายเป็นรถแห่งหายนะได้