เราทุกคนต้องยอมรับเนอะ ว่าเกือบทุกคนนั้นเชื่อเรื่องโชคลาง ไม่ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ตาม เช่นเวลาคุณจะไปสอบสัมภาษณ์งาน คุณก็อมพระใส่เสื้อชุดเก่งโดยเชื่อว่ามันจะช่วยให้เราได้งาน หรือคุณไม่ออกจากบ้านในศุกร์ที่ 13 เพราะถือว่าโชคร้าย ฯลฯ และวันนี้ เราขอนำเสนอความเชื่อที่ฮิต 5 เรื่องจากทั่วโลกมาให้อ่านกัน แม้หลายคนบอกว่ามันเหลวไหล(ว่ะ) ไร้สาระ ใครเชื่อก็บ้าแล้ว
แต่ถ้าเรามองลึกๆ หาที่มาและดูเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ก็สามารถเข้าใจในเรื่องพวกนี้อย่างสนุกสนานเช่นกัน
อันดับ 5 แมวดำ(Black Cats)
ลางร้ายเกี่ยวกับแมวดำนี้มีเยอะเสียจริง ในประเทศแถบเอเชียนี้ใครเห็นแมวดำที่ไหนจะต้องมีคนตายที่นั้น, ในประเทศจีนถ้าแมวดำข้ามศพศพจะคืนชีพ ในประเทศไทยเชื่อว่าถ้าแมวดำโดนศพ ศพจะมลทิน ซึ่งวิธีแก้ของแขกมาลายู ที่ต้องเอาตะไกรหนีบมาวางบนอกศพ เผื่อว่าแมวกล้ำกรายเข้ามาใกล้ศพ หรือถูกศพ เหล็กตะไกรจะเป็นเครื่องบังคับไม่ให้ศพลุกขึ้นมา กลายเป็นผีร้าย เป็นที่หวาดเกรงของชาวบ้านได้
ความเชื่อมาจากไหนเหรอ?? ความเชื่อนี้ไม่สามารถระบุให้แน่ชัดได้ว่ามันมาจากไหน ทั้งๆที่ในยุคอียิปต์โบราณ แมวถือเป็นสัตว์เลี้ยงของเทพเจ้าทีเดียว !! ถึงขั้นที่ว่าแมวทุกตัวในสมัยนั้น(รวมแมวดำด้วย)จะได้รับการยกย่องมาก มีกฎหมายคุ้มครองไม่ให้ใครทำร้ายหรือฆ่าแมว หากแมวในครอบครัวตาย จะจัดพิธีศพอย่างหรูหรา ใช้ผ้าลินินมห่อศพเอาไว้เหมือนมัมมี่แล้วเก็บในโลงที่ทำจาก โลหะมีค่า เช่น บรอนซ์ หรือทำด้วยไม้
สันนิษฐานกันว่า ความหวาดกลัวแมวดำเริ่มขึ้นที่ยุโรปในยุคกลาง ยุคล่าแม่มดนั้นแหละ ซึ่งช่วงนั้น ประชากรแมวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับดอกเห็ด และคนเลี้ยงแมวส่วนใหญ่เป็นหญิงชราที่ถูกทอดทิ้ง ที่ดูแล้วไม่เป็นมิตรหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ สกปรก น่ากลัว ประกอบกับแมวเป็นสัตว์ลึกลับ โดยธรรมชาติอยู่แล้ว เมื่อทั้ง 2 สิ่งมาอยู่รวมกันจึงเป็นธรรมดาที่คนพูดว่า "แมวดำเป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด" จึงเกิดความกลัวขึ้น ในแต่ละเดือน มีแมวดำนับพันๆ ตัวถูกเผา รวมถึงหญิงชราผู้เป็นเจ้าของแมวด้วย และนอกจากนั้นยัง ผสมกับความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำและนิทานพื้นบ้านที่เล่าว่า
"ในคืนเดือนมืดคืนหนึ่ง 2 พ่อลูกเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เดินผ่านหน้าบ้านไป ด้วยความกลัวพวกเขาจึงขว้างก้อนหินออกไป ปรากฎว่ามันเป็นแมวดำ! มันเดินขากะเผลกไปที่บ้านที่หญิงชราอาศัยอยู่ วันรุ่งขึ้น พ่อลูกคู่นี้ก็เห็นหญิงชราคนนี้ หน้าเป็นแผล แขนเจ็บ และเดินขากะเผลก ตั้งแต่วันนั้นมา ชาวเมืองก็เชื่อกันว่าแมวดำคือแม่มดแปลงร่างมา"
อันดับ 4 Groundhog Day
ทุกๆ ปีในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของแต่ละปี ที่มลรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นประเพณีของชาวอเมริกันที่อยู่ตามชนบท ผู้ศรัทธาความเชื่อในความพิศวงการพยากรณ์อากาศ ของตัว groundhog(เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รูปร่างเหมือนตุ่น)ซึ่งเปรียบเหมือนสัญลักษณ์การทำนายสภาพอากาศว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาช้าหรือเร็วในปีนั้นๆ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าหากพวกมันออกจากโพรงที่มันอาศัยและจำศีลในฤดูหนาวแล้วมันไม่มองเห็นเงาของตนเองแสดงว่าอากาศหนาวยังคงดำเนินต่อไป แต่ถ้าหากว่ามะนเห็นเงาของตนเองสิ้นสุดการจำศีลและเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ความเชื่อนี้มันอาจไร้สาระหรือไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ทุกปี เทศกาล " Groundhog Day " ก็เป็นความคึกคักของชาวเมืองแห่งนี้มาก มีการจัดกิจกรรม และงานเฉลิมฉลองตลอดวันตลอดคืน
ความเชื่อมาจากไหนเหรอ?? เรื่องนี้สามารถอธิบายตามวิทยาศาสตร์เหมือนกัน โดยธรรมชาติแล้วตัว groundhog เป็นสัตว์ที่คล้ายๆ หมีที่ มันจะตื่น เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ โดยเจ้าตัว groundhog ก็เช่นเดียวกันหมีนี้แหละที่ตื่นเพื่อดูว่าอากาศจะเป็นอย่างไร ถ้าอากาศหนาวมันก็ บ้ายบาย กลับไปนอนต่อดีกว่า ซึ่งมันอาจขึ้นๆ ลงๆ จนกว่ามันจะรับรู้ว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้วจึงจะขึ้นข้างบนและไม่ลงไปจำศิลที่รูแล้วละ นอกจากนี้สาเหตุที่มันมองเห็นเงาก็เพราะฤดูใบไม้ผลิมันมีแสงอาทิตย์ส่องไงจึงเกิดเงาขึ้น แต่หากเป็นฤดูหนาวมันก็ไม่มีแสงแดดส่องสิแล้วเจ้าตัว groundhog จะเห็นเงาได้ไงละครับท่าน
อันดับ 3 กระจกแตก (Breaking a Mirror)
มนุษย์เรานี้ช่างขี้กลัวจริงๆ แม้กระทั้งอุบัติเหตุรอบตัวเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นกระจกแตกเป็นเชื่ออย่างจับใจว่านี่คือลางร้ายอย่างยิ่ง คุณอาจเจ็บใจไข้ได้ป่วยมีอันตรายและต้องประสบเคราะห์กรรมเป็นเวลา 7 ปี บางคนถึงกับเปลี่ยนแปลงแผนการและพฤติกรรมไปเลยเมื่อเกิดเหตุเหล่านี้
ความเชื่อมาจากไหนเหรอ?? ความเชื่อนี้มีมาในสมัยกรีกซึ่งชาวกรีกที่เชื่อว่ากระจกคือเครื่องบอกอนาคตสะท้อนให้เห็นถึงวิญญาณของคน ทำให้มีความเชื่อว่าภาพถ่ายหรือภาพเขียนหรือกระจกเป็นตัวแทนของวิญญาณหรือร่างอันแท้จริง ดังนั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับกระจกหรือรูปภาพ จึงเท่ากับว่าจะมีเหตุร้ายบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้าของ
นอกจากนี้ทางยังมีเหตุผลอธิบายได้อีกแบบคือในศตวรรษที่ 16 กระจกมีราคาแพงมาๆ เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยของคนร่ำคนรวย หากมีการตกแตกล่ะก็ซวยสิ ดังนั้นผู้หลักผู้หญิงมักสอนเด็กเสมอว่า "เอ็งอย่ามาเล่นกระจกนะวุ้ย ไม่งั้นจะโชคร้ายถึง 7ปี (ทั้งนี้เพราะชาวโรมันมีความเชื่ออยู่ว่า สุขภาพของคน จะเปลี่ยนแปลงทุก ๆ 7 ปี) ซึ่งตามจิตวิทยาบอกว่า
"เด็กมักเชื่อเรื่องที่ผู้ใหญ่เล่าเพราะขาดความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในตัวเอง จนขาดการวิเคราะห์เหตุผลอย่างเหมาะสมและเป็นวิทยาศาสตร์"
อันดับ 2 ใบไม้สี่แฉก(Four-Leaf Clover)
ใบไม้สี่แฉกเป็นความเชื่อของไอร์แลนด์ ที่เชื่อว่าใครได้พบต้น Clover (พืชตระกูลถั่ว)ที่มี 4 ใบจะถือว่าโชคดี (กลีบแรกหมายถึงความหวัง, กลีบสองหมายถึงศรัทธา,กลีบที่สามหมายถึงความรัก และสี่หมายถึงโชคดีไงล่ะ)
ความเชื่อมาจากไหนเหรอ??เหตุผลก็ง่ายๆ เพราะมันหายากไงละอิงมาจากวิทยาศาสตร์เลยนะโดยบอกว่าโอกาสที่เจอใบพืชตระกูลถั่วแบบสี่แฉกนี้เป็นเรื่องยาก เพราะการกลายพันธุ์แบบนี้โอกาสพบคือ 1 ใน 10000 ใบ ซึ่งส่วนใหญ่ต้นทั่วไปจะมี 3 ใบเท่านั้น แต่ถ้าใครขี้เกียจหาก็สามารถซื้อทางเน็ตได้!! พูดจริงๆ มันมีขายทางเน็ตแล้วครับ ราคาก็ดอกละ 25 ดอลลาร์(แพงหรือเปล่าเนี้ย) แต่ปัจจุบันพบว่ามีคนเพาะสายพันธุ์ แบบสี่ใบมาขายแล้วจ้าๆๆๆ http://www.lucky-four-leaf-clover.com/home.html
แล้วมันโชคดีจริงๆ หรือ มีแน่นอน แต่เป็นเรื่องโภชนาการนะ ที่เขาบอกว่าพืชตระกูลถั่ว (เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วยพืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ อีกทั้งช่วยป้องกัน การเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย
อันดับ 1 เท้าของกระต่าย (The Rabbit's Foot)
หลายคนในออสเตเลียเชื่อว่า การได้ของขลังเท้ากระต่ายมาประดับจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและความมั่นคั่งความร่ำรวย, ความอุดมสมบูรณ์, ความสำเร็จในชีวิต และสามารถคุ้มภัยได้ด้วย ยิ่งให้หญิงมีท้องจะช่วยให้คลอดลูกง่าย ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเลี้ยงจนตั้งเป็นทีมฟุตบอลซะเลย
ความเชื่อมาจากไหนเหรอ?? เหตุผลสุดง่ายคือกระต่ายเป็นสัตว์ที่ชอบถูกมนุษย์ล่าใช่เปล่า เมื่อนายพรานล่ากระต่ายได้ ก็จะเอาเนื้อหนังไปทำ ประโยชน์หลายๆ อย่าง แต่มีเพียงเท้าของกระต่ายเท่านั้นที่ทำประโยชน์ไม่ได้ แต่ด้วยความงกของนายพรานจึงตัดเท้ากระต่าย เอามาห้อยเป็น พวงกุญแจเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า(ตรูล่าฆ่ากระต่ายมา 100 ศพแล้วนะฮ่าๆ กลัวไหม) และเมื่อคนเห็นเครื่องประดับประกอบกับนิสัยของกระต่าย ที่เป็นสัตว์ ตื่นตัวอยู่เสมอ สามารถมองเห็นภัยอันตรายที่จะมาถึง เกิดลูกง่าย มีลูกเยอะ จึงกลายเป็นความเชื่อนี้ในที่สุด...... เอวัง
ที่มา:http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?PHPSESSID=6vav2kalv8tbr6vl09bavk3ko6&topic=113239.0