โดย "ครอบครัวกลูเบอร์" เป็นครอบครัวที่อาศัยอยู่ใน hinterkaifeck พื้นที่ชนบทเล็กๆ ในแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ในครอบครัวมีสมาชิกทั้งหมด 6 คน ได้แก่ "อันเดรส"ผู้เป็นสามี "คาซิลเลีย"ผู้เป็นภรรยา "วิคตอเรีย"บุตรสาวของบ้าน "คาซิลเลียและโยเซฟ"บุตรของวิคตอเรีย รวมทั้ง"มาเรีย"ผู้เป็นแม่บ้าน
ครอบครัวกลูเบอร์เป็นครอบครัวแปลกแยกแตกต่างไปจากครอบครัวอื่นในละแวกนั้น โดยอันเดรสผู้เป็นสามีเป็นคนรักสันโดษทั้งยังมีข่าวลือว่าเขาชอบทำร้ายภรรยาเป็นประจำ และเขายังข่มขืนวิคตอเรียที่เป็นบุตรสาวจนทำให้เธอเกิดตั้งครรภ์และมีลูกซึ่งก็คือหลานทั้ง 2 คนของเขานั่นเอง
แต่แล้วในเดือนพฤษภาคม 1922 แม่บ้านคนเก่าก่อนที่"มาเรีย"จะเข้ามาทำงานแทนก็ขอลาออกกระทันหัน โดยเธอให้เหตุผลว่า เธอมักจะได้ยินเสียงแปลกประหลาดภายในบ้าน บางครั้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นรอบบ้านรวมไปถึงห้องบนหลังคาอีกด้วย
ดังนั้นอันเดรสจึงทำการสำรวจและค้นหาสาเหตุของเสียง แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่พบอะไรเลย จนประทั่งเขารับ"มาเรีย"แม่บ้านคนใหม่เข้ามา และวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายที่ชาวบ้านพบว่าครอบครัวกลูเบอร์ยังมีชีวิตอยู่
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นคนในครอบครัวกลูเบอร์อีกเลย จนชาวบ้านละแวกนั้นเกิดความสังสัยจึงเรียกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูปรากฎว่า ทุกคนในครอบครัวกลูเบอร์เสียชีวิตในสภาพศพกองรวมกันโดยมีเศษฟางคลุมร่างอยู่ภายในโรงนา
เมื่อตรวจสอบก็พบว่าทุกคนตายเพราะถูก "พลั่ว" ฟาดเข้าที่ศีรษะ ดังนั้นตำรวจจึงสันนิษฐานว่าฆาตกรน่าจะเป็นคนที่มีความรู้และฝีมือในการใช้พลั่วเป็นอย่างดี และเมื่อตรวจสอบร่องรอยอย่างอื่นก็ไม่พบอะไรเพราะทรัพย์สินของมีค่าก็ยังคงอยู่ในบ้านครบทุกอย่าง
เมื่อสืบไปสืบมาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ตัวผู้ต้องสงสัยคนหนึ่ง "ลอเรนซ์ ชลิทเทนบาวเออร์" ชายที่เป็นอดีตคนรักของวิคตอเรีย แต่เขาถูกอันเดรสผู้เป็นพ่อของวิคตอเรียกีดกัน และท้ายที่สุดหลังจากสอบสวนตำรวจก็ต้องปล่อยตัวเขาไปเพราะหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิด
ต่อมาทางตำรวจมิวนิคจึงได้นำกะโหลกศพของคนครอบครัวกลูเบอร์ไปเก็บไว้เพื่อจะทำการตรวจสอบตามขั้นตอนต่อไป แต่ก็น่าเสียเพราะช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดีทำให้หลักฐานทั้งหมดถูกทำลายไป
ดูเหมือนว่าคดียังคงยืดเยื้อและหาคำตอบมาไม่ได้จนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานมากแต่ก้ไม่มีใครลืมคดีนี้เลย โดยในปี 2007 ตำรวจเยอรมันตั้งใจจะรื้อคดีฆาตกรรมครอบครัวกลูเบอร์ขึ้นมาทำใหม่ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะหลักฐานสำคัญในคดีได้สูญหายและถูกทำลายไปตามกาลเวลา ทำให้คดีนี้เป็นปริศนาที่ยังหาข้อเท็จจริงไม่ได้...
ข้อมูลและภาพประกอบจาก "soccersuck"