thairath
เมื่อรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดแล้วก็ย่อม โรยรานี่คือสัจธรรม แต่ใครจะ คิดว่ามหาอาณาจักรโรมันอัน ยิ่งใหญ่ จะดับวูบลงได้ด้วยน้ำมือ ของผู้รุกรานที่เรียกกันว่า “คนเถื่อน” จากสมรภูมิรบที่โรมัน ประเมินศักยภาพของฝ่าย ตรงข้ามต่ำเกินไป
เรา คงต้องหันไปจับความเมื่อก่อน ค.ศ. 378 กันสักเล็กน้อย ซึ่งเวลานั้นเป็น เวลาหลังจากที่โรมันได้แบ่งออกเป็นสองอาณาจักรโดยโรมันตะวันออกมี ฟลา วิอุส วาเลน จักรพรรดิหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบ ส่วนโรมันตะวันตกมีหลานของพระองค์คือ ฟลาวิอุส เกรเชียน หนุ่มน้อยวัยรุ่นผู้เป็นนักรบเก่งฉกาจปกครอง
ใน เวลานั้น นอกบ้านชานเมืองของโรมก็มีพวกบ้านป่าเมืองเถื่อนล้อมรอบอยู่ คือพวก กอธ ทั้ง ออสโตรกอธ และ วิสิกอธ ซึ่งก็ย้ายหนีมาจากบ้านเก่าแถวสแกนดิเนเวียลง มาทางใต้ อยู่ในระหว่างขยายเผ่าพันธุ์และออกลูกออกหลานกันอย่างเมามัน ทั้งสองฝ่ายคือพวกกอธและโรมัน ต่างประจันหน้ากันอยู่คนละฝั่งแม่น้ำดานูบมาเป็นร้อยปี
เรื่อง มันก็คงจะไม่น่ามีอะไรเดือดร้อน ถ้า...พวกเขาจะไม่ถูกพวกอพยพใหม่ๆ เช่น ชาวฮั่น ชาวเผ่าเร่ร่อน นักรบผู้เก่งกาจบนหลังม้าจากเอเชียกลาง ซึ่งเดินทางมาจากตะวันออก ทำให้พวกกอธเริ่มหาทาง หนีรุกเข้ามาในชายแดนของ โรม สมัยของจักรพรรดิวาเลน ซึ่งพระองค์ก็ทรงอนุญาตยอมให้วิสิกอธ ข้ามแม่น้ำดานูบอพยพเข้ามาถึงเมืองเธรส ซึ่งอยู่ ทางตอนเหนือของกรีซได้ ชะรอย ชาวโรมันจะไม่รู้ว่า จำนวนพวกกอธมีมากมายขนาดไหนก็ได้ ถึงได้ออกปากอนุญาต ไปยังงั้น แต่ยามที่มดปลวก ชาวกอธ อพยพข้ามแม่น้ำ จะด้วยเรือ ด้วยแพ กระทั่งกอดขอนไม้ ลอยน้ำ และว่ายน้ำ แม่น้ำดานูบ ซึ่งเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ กว้างกว่าครึ่งไมล์ ก็ดูแคบไปถนัดใจ
ใน สายตาของ ลูปิซินุส ผู้บังคับบัญชาทหารท้องถิ่น เหตุการณ์ เหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดาเสียแล้ว คนจำนวนแสนไร้ที่อยู่ หิว และมีอาวุธ ย่อมจะเป็นปัญหาใน อนาคตเป็นแน่แท้ ลูปิซินุสประสาทกิน เขาหาทางออกด้วย การวางแผนสังหารผู้นำกอธิคเสียให้สิ้น ด้วยการเชิญบรรดาผู้นำกอธิค ทั้งหลายมารับเลี้ยงอาหาร และจัดการสังหารหมู่หัวหน้าชาว อพยพเหล่านี้เสียส่วนใหญ่ สิ่งที่พลาดอย่างแรงก็คือ เขาไม่สามารถฆ่าผู้นำทั้งหมดนะสิ มีผู้นำชาวกอธหลายคนหนีไปได้ หนึ่งในนั้นก็คือ ฟริติเจิร์น (Fritigern)
ฟริติเจิร์นคนนี้ กลายเป็นตัวจักรสำคัญ ความแค้นที่ถูกชาวโรมันหักหลัง ทำให้เขารวบรวมกำลังชาวกอธหันหน้าเข้าตอบโต้ในทันทีทันใด โดยพาทัพนักรบป่าเข้าโจมตีกองทหารโรมที่อยู่ ใกล้ที่สุดที่มาชิอาโนเปิล ซึ่งลูปิซินุสประจำอยู่
เมื่อ ลูปิซินุสเห็นทัพชาวกอธจู่โจมเข้ามา เขายกกองทหารออกมาตั้งแถวหน้ากระดานรับตรง ระหว่างทางเข้าเมือง ฟริติเจิร์นเห็นแถวทหาร เขาจัดการแปรแถวทหารป่าของตัวเป็นรูปเสา แทนที่จะ เข้าปะทะด้วยแถว หน้ากระดานเหมือนกัน แถวทหารชาวป่าเข้ากระแทกแถวหน้ากระดานของชาวโรมันอย่างดุเดือด ทหารป่าของฟริติเจิร์นเต็มไปด้วยความโกรธและความหิว ในขณะที่ทหารของโรมันซึ่งแม้จะเป็นทหารที่ได้ชื่อว่ามีระเบียบวินัยดีมาก แต่ไม่มีแรงขับภายในเท่า ทำให้ต้องพ่ายแพ้ย่อยยับ ลูปิซินุสหนีไปได้ แต่ ทหารในบังคับจำนวนราว 5,000 คน ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของกองทหาร ...ตายหมด!
จาก วันนั้นเป็น ต้นมา อาณาจักรโรมันก็ตกอยู่ภายใต้การคุกคาม ของคนเถื่อน ชาวกอธ ต่างๆ นับวันก็เพิ่มจำนวน ขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การนำของฟริติเจิร์นจากวิสิกอธ อลาเธอุส และ ซาแฟร็กซ์ จากออสโตรกอธ หนำซ้ำยังมีการรวมตัวเข้ากับพวกอพยพเผ่าอื่นๆ เช่นว่าพวกซามาเธียน อลัน และแม้กระทั่งพวกฮั่น และจากนั้นเมื่อกลายเป็นกองทัพขนาดมหึมาจนดูราวกับฝูงตั๊กแตนใน ทุ่งข้าว พวกเขาก็เดินทางถึงเมืองใหญ่อาเดรียอาโนเปิลเพื่อพยายามยึดเมืองนี้ให้ได้
ขณะ นั้นเองที่จักรพรรดิวาเลน ทรงได้รับข่าวร้าย ทำให้พระองค์รีบจัดเตรียมกองทัพ ในวันรุ่งขึ้น และส่งข่าวให้จักรพรรดิเกรเชียน จากโรมันตะวันตกยกมาช่วย จักรพรรดิเกรเชียนก็พากองทัพ ขนาดเล็กยกออกมาจากอิตาลี (แม้จะห่างจากจุดหมายเกือบๆพันไมล์) ตามแผนที่กะกันไว้ก็คือ จะนำกองทัพทั้งสองรวมกันแล้ว ช่วยกันไล่พวกคนเถื่อนออกไป
จักรพรรดิ วาเลนจัดทัพตามแบบแผนโรมัน มีกำลังทหารม้าเป็นกองหน้า มีทหารราบอยู่ตรงกลาง และมีกองทหารม้าปิดท้าย ออกเดินทางมาจากคอนสแตนติโนเปิลมุ่งหน้าอาเดรียอาโนเปิล ครั้นเมื่อมาถึง พระองค์จัดการให้พวกเสือหมอบแมวเซา(สายลับ) ออกไปสืบความเคลื่อนไหวของพวกกอธ
พวกเสือหมอบแมวเซา กลับมาเสนอรายงาน ที่น่าแปลกใจว่า พวกกอธ ไม่ได้มีกำลังมหาศาลอย่างที่คิด ตรงข้ามพวกมันมีกำลัง ไม่เกินหมื่นเท่านั้น ข่าวนี้ทำให้จักรพรรดิวาเลนกระหยิ่มใจ พระองค์ต้องตัดสินใจให้ เร็วที่สุด หากพระองค์ชิงลงมือ โอกาสที่กองทัพใหญ่ ของพระองค์จะมีชัย เหนือกองทัพเล็กของคนเถื่อนก็มีอยู่เห็นๆ ที่สำคัญ พระองค์มีความ ริษยาลึกล้ำ อยู่ในใจ ต่อจักรพรรดิเกรเชียนผู้หลาน หากพระองค์ชนะศึกนี้โดยลำพัง ชื่อเสียงก็จะกลับคืนมาสู่องค์เอง แทนที่จะต้องแบ่งกับเกรเชียน
และ ก็ทิฐิมานะ ความเห็นว่าตัวเองดีกว่าผู้อื่นนี่เอง ที่ทำให้พระองค์ไม่รู้เรื่องใดของศัตรูเอาเลย ไม่รู้ว่าศัตรูของพระองค์ เป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่มีจำนวนมากมายมหาศาล ขนาดที่เมื่อจัดเป็นขบวนเกวียนและคนต่อแถวกันยาวถึงหกไมล์ (หนังสือบาง เล่มกล่าวไว้ว่า พวกอพยพมีจำนวนถึงสองล้านคน!) ไม่รู้ว่าพวกเขาถนัดในเรื่องการเดินทางเคลื่อนที่ จึงรู้วิธีบำรุงกำลังคนกำลังม้า ในเวลาที่ต้องรวมกันต่อสู้ พวกเขาจะนำเกวียนมาผูกกันเป็นวงกลม กลายเป็นป้อมค่ายแบบสายฟ้าแลบ ซึ่งทำให้เวลารบ แม้กอธจะชอบรบในทุ่งกว้าง แต่การมีเกวียนมาผูกติดกันไว้ ทำให้พวกเขาได้รบในทุ่งกว้างและยังมีที่หลบ หลีกตามเกวียนด้วย อีกอย่างหนึ่ง พวกนี้ไม่แบ่งว่าใครเป็น ทหารหรือใครเป็นประชาชน ทุก คนรบได้เหมือนกัน ทว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ จักรพรรดิวาเลนไม่รู้ว่า พวกคนเถื่อนจะรบแบบถวายชีวิตเพียงไร!
วา เลนนำทัพมาประจันหน้าฟริติเจิร์นที่นอกกำแพงอาเดรียอาโนเปิล แต่ฟริติเจิร์นยังไม่ยอมลงมือ เขากะถ่วงเวลาชาวโรมัน เพราะกองกำลังม้าส่วนใหญ่ของเขายังมาไม่ถึง เพราะว่ากำลังอยู่ระหว่างกระจัดกระจายเล็มหญ้าอยู่บนหุบเขาใกล้ๆ (สายสืบของวาเลนจึงเห็นแค่กำลังที่เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ไง) ดังนั้น เพื่อรอกำลังสมทบ ฟริติเจิร์น ส่งทูตไปหาจักรพรรดิวาเลนขอเจรจาสันติ
แต่ ก็อย่างที่นึกละ ตกมาถึงขั้นนี้ จักรพรรดิวาเลนย่อมไม่ตกลงเจรจาใดๆทั้งสิ้น และก่อนที่ใครๆจะรู้ตัว กองก่อกวนของโรมันก็เริ่มตี พวกกอธที่ปีกขวาอย่างประปราย ทหารม้าของฟริติเจิร์น ตอบโต้ด้วยการพุ่งเข้าใส่ จนสามารถตัดขบวนทหาร กองก่อกวนล่าถอยไปไกล การรบอย่างแท้จริงเริ่มต้น ทว่าแย่ตรงที่เริ่มเอาตอนที่กำลังเสริม ของกอธลงจากภูเขาพุ่งลงมาสมทบพอดี
ตาม ถ้อยคำของ แอมมิอานุส มาเซลลินุส นักประวัติศาสตร์โรมันกล่าวไว้ว่า
“พวก กอธพุ่งลงมาจากภูเขาราวกับสายฟ้า เมื่อเห็นว่าพวกเดียวกันกำลังเดือดร้อน ก็เข้าตีกองทหารม้าซึ่งเป็นปีกขวาของทัพโรมัน ทหารม้าส่วนหนึ่งของกอธควบอ้อม ไปตีแถวทหารราบโรมันทางด้านหลังด้วย จากนั้นทหารราบของฟริติเจิร์นก็โผล่ออกมาจาก หลังวงเกวียนเข้าสมทบตีกอง ทหารโรมันทางด้านหน้า”
กอง ทัพโรมันที่อ่อนแรงอยู่แต่แรก เพราะโดนความร้อนเดือนสิงหาเผาผลาญ ในช่วงเดินทางมาก่อน พอมาเจอกับกำลังศัตรูที่คาดไม่ถึงและวิธี การรบที่ไม่เคยเห็น เล่นเอากองทัพที่เคยเต็มไปด้วยระเบียบระส่ำ ไม่เป็นขบวน การรบลุกลามเหมือนไฟป่า ลูกธนูนับพันและหอกจำนวนมากตกลง ใส่ขบวนทหารโรมันราวกับห่าฝน ยิ่งสมทบกับกลศึกของฟริติเจิร์นซึ่งสั่งแปรแถวทหารราบให้เป็นเสมือนเครื่อง กระทุ้ง (ประตู) หัวแกะ เข้าจัดการกับแถวทหารโรมัน ทหารม้าโรมันที่เหลืออยู่เต็มจำนวนทางปีกซ้าย โดนนักรบชาวป่าเข้าต่อตีก็เริ่มถอยหนีด้วยอาการสับสน แต่แล้วพวกเขากลับพบว่า กองทัพของตนถูกชาวป่าบีบล้อมทุกด้าน
และ แล้วการรบตัวต่อตัวก็เริ่มขึ้นอย่างไร้ปรานี
เมื่อ เสร็จสิ้นสงครามบ่ายวันนั้น ร่างไร้วิญญาณของคู่ต่อสู้ เกลื่อนสนาม บางคนถูกตัดหัว บางคนตัวขาดออกจากกัน แขนขากระเด็น ขาดพาดทับเป็นกองเลือดเจิ่งนองทั่วท้องทุ่ง เสียงตะโกนเรียกหา เสียงร้องเรียกความกล้าแก่กันระหว่างทหารโรมันค่อยๆ แผ่วจนกลายเป็นเสียงร้องครวญครางของคนกำลังจะตาย ประมาณกันว่าทหารโรมันส่วนน้อยล่าถอย ไปได้ แต่ส่วนใหญ่ราวเศษสองส่วนสามตายหมด
รวม ทั้ง...จักรพรรดิวาเลน!
จักรพรรดิ เกรเชียนเมื่อได้ยินข่าวความพ่ายแพ้ ก็พาทัพหันหลังกลับบ้านทันที นี่ละผลแห่งการประเมินกำลังข้าศึกต่ำเกินไป การเผชิญหน้าครั้งแรกโรมันจึงพ่ายแพ้ยับเยิน
ความ ขัดแย้งระหว่างสองฟากก็ยังมีอยู่ ในแผ่นดินตุรกีอีกสามสิบปีต่อมา แม้ว่าไม่มีฝ่ายไหนแข็งแรงมากพอ จะคว่ำอีกฝ่ายให้พ่ายแพ้ อย่างสิ้นเชิง สิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นก็คือจำนวนประชากรชาวเผ่า ซึ่งเมื่อถึง ค.ศ. 409 พวกกอธ ก็เฮละโลอพยพไหลกันไปทางตะวันตกสู่อิตาลี เข้ายึดและเผาเมืองโรมเมื่อปี 410
ส่วน โรมันตะวันออกก็สิ้นอารยธรรมลงในอีกเจ็ดร้อยปีต่อมา