ประวัติความเป็นมาขององค์มหากาลียะเดวี

http://www.ohmsaya.com/index.php?lite=article&qid=553145

ประวัติความเป็นมาขององค์มหากาลียะเดวี

พระนางมหากาลียะเดวีศรีมาตา

                                                               

พระแม่กาลี" หรือ กาลิกา (กาลราตรี) นับเป็นปางดุร้ายที่สุดของพระอุมา โดยเป็นรูปสตรีที่มีผิวพรรณดำสนิท มีวรกายอ้วนใหญ่ไม่มุ่นเกศา สยายยาว ประบ่ามิได้รวบขึ้นรัดเกล้าไว้ มี 10 พระกรมีอาวุธร้ายถืออยู่ในทั้ง 10 พระกรนั้น โดยอาวุธที่ใช้คือดาบ ที่ริมฝีปากและวรกายยังมีเลือดไหลหยดเป็นทางยาว และประดับเครื่องแต่งองค์อาภรณ์ไปด้วยสังวาลย์สายที่ร้อยไว้ด้วยหัวอสูรที่ร้อยไว้ดังพวงมาลา ตัดมาจากการฆ่าอีกทั้งยังมีงูตัวใหญ่ร้อยคาดองค์ดั่งสังวาลย์เช่นกัน พระหัตถ์หนึ่งใน 10 ของเจ้าแม่กาลีนี้ได้ถือหัวกระโหลกบ้าง บางแห่งก็ว่าไว้ว่าถือหัวยักษ์ซึ่งตัดใหม่มีเลือดหยดเป็นรอยไหลเป็นทาง พระแม่กาลีในภาคนี้นั้นมี ความดุร้ายเหี้ยมโหดเป็นยิ่งนัก

ปางมหากาลีนี้ ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระแม่กาลีได้ต่อสู้อย่างดุเดือดกับมาธูอสูร ที่เคยได้รับพรจากพระศิวะว่าให้มีชีวิตเป็นอมตะ หากเลือดมาธูอสูรตกลงถึงพื้นดินก็จะเกิดเป็นอสูรอีกมากมายไม่สิ้นสุด ดังนั้นพระศิวะจึงได้ประทานวิธีให้พระแม่กาลีได้ดื่มเลือดอสูรทุกครั้งโดยที่ยังไม่ทันได้ตกลงถึงพื้นดิน มาธูอสูรจึงถึงแก่ความตายในที่สุด

ปางกาลีนั้นจึงนับเป็นอีกด้านหนึ่งที่แสดงถึงพลังอำนาจในการปกป้องของผู้เป็นเพศแม่ เป็นธรรมชาติของเพศหญิงที่จะมีภาวะกราดเกรี้ยวรุนแรงไร้ขีดจำกัดชนะเหตุผลทั้งปวง ซึ่งถ้ามีภัยอันตรายก็พร้อมจะสู้หรือป้องกันอย่างยิบตา

ด้วยเหตุนี้ปางที่ดุร้ายอย่างพระแม่กาลี จึงกลับเป็นที่นิยมบูชากันมาก เพราะเชื่อว่าทรงพลังอำนาจในการให้พรผู้บูชาด้วยอำนาจอันไม่ยับยั้งว่าด้วยการประทานความสำเร็จหรือมีชัยชนะต่อศัตรู คือถ้าผู้ใดบูชาจนพระนางพอพระทัยก็จะประทานพรมากมายเพราะเป็นปางที่แสดงลักษณะปลดปล่อย จากความเลวร้ายทั้งมวล(เปรียบกับที่ทรงปราบมาธูอสูรผู้ดุร้าย)

                                                

                                                    

ประวัติโดยละเอียด

พระแม่กาลีนี้ได้แบ่งภาคจากการบำเพ็ญตบะของพระอุมาเทวี (บางคัมภีร์ ว่า เสด็จออกมาจากนลาฏ (หน้าผาก) ของพระแม่ทุรคา) โดยทรงมีจุดประสงค์เพื่อปราบอสูรตรหนึ่ง นามว่า อสูรทารุณ ความเป็นมามีว่า อสูรทารุณนี้แม้ว่าจะถูกฆ่าสักกี่ครั้งก็ไม่มีวันตาย แล้วที่สำคัญกว่านั้นเมื่อเลือดตกลงพื้นเมื่อใดก็จะทวีขึ้นเรื่อยไปไม่หมดสิ้น ความที่คิดว่ามีอิทธิฤทธิ์มากมายฆ่าไม่ตายจึงทำให้อสูรทารุณเกิดหลงผิดในความเก่งกาจของตนนำมาใช้ในการกลั่นแกล้ง รังแกผู้คน เทวดาทั่วไป สุดท้ายก็คิดได้ว่าเมื่อมีอำนาจขนาดนี้แล้วครองโลกทั้งสามเลยดีกว่า เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วเหล่าเทวดา นางฟ้า ผู้ทรงศีลทั้งมวล จึงต้องนำเรื่องเข้าเฝ้าพระอิศวร เพื่อหาทางปราบอสูรทารุณ เหล่าเทวดาทั้งหลายเมื่อได้ฟังสรรพคุณของอสูรก็ไม่มีใครกล้าอาสาออกไปสู้รบเลย จนที่สุดจะทนองค์พระศรีมหาอุมาเทวี เทพสตรีแห่งสวรรค์ได้มีความประสงค์ที่จะออกปราบอสูรร้าย ซึ่งพระองค์ได้ขอพร ขอบารมีต่อองค์พระศิวะผู้เป็นเจ้า เพื่อให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แล้วจึงเสด็จเพื่อบำเพ็ญตบะทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ให้มีฤทธิ์อำนาจปราบอสูรร้ายได้ โดยได้กระทำพิธีในอุทยานเขตแดนป่าหิมพานต์ โดยพระศรีมหาอุมาเทวีได้ทรงมอบหมายให้องคพระขันธกุมาร (สะกันทะ) รับหน้าที่ดูแลไม่ให้ใครย่างกรายเข้าไปในบริเวณพิธีโดยเด็ดขาด

เมื่อเวลาผ่านไปพระศิวะจึงทรงเสด็จเข้าไปในอุทยานเพื่อให้รู้แน่ว่าที่นั้นเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วพระองค์ก็พบกับพระขันทกุมาร โอรสองค์เล็กของพระองค์จึงทรงสอบถามว่าพระอุมาเทวีอยู่ที่ใด และจะขอเข้าพบ โอรสขันทกุมารเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวตอบไปด้วยความที่ได้ทรงรับคำสั่งจากพระอุมาเทวีก่อนเข้าบำเพ็ญตบะ ว่าไม่ให้ใครย่างกายเข้าสู่บริเวณพิธีโดยเด็ดขาด จึงทรงไม่สามารถให้องค์พระศิวรผ่านเข้าไปในพิธีได้ เมื่อเป็นดังนั้นจึงเกิดการโต้เถียงขั้น สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการต่อสู้ระหว่างองค์ขันทกุมารกับองค์พระอิศวร โดยฝ่ายพระอิศวรเป็นฝ่ายรุกไล่ และองค์ขันทกุมารเป็นฝ่ายล่าถอยและตั้งรับ เหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนักก็ถึงเวลาที่พระอุมาเทวีทรงบำเพ็ญตบะจนเสร็จพิธีได้เสรด็จออกมา แต่สิ่งที่ปรากฏกลายเป็นรูปกายที่เปลี่ยนจากเดิมเป็นพระแม่กาลี ย้อนกลับถึงการต่อสู้เมื่อสู้จนผ่านมายังพระแม่กาลี องค์ขันทกุมารเมื่อเห็นพระแม่กาลีจึงตรงเข้าหาพระแม่ และเล่าถึงเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด โดยที่องค์ขันทกุมารเมื่อพบเห็นรูปกายพระแม่อุมาก็ทรงทราบได้ว่านี้คือพระแม่ของตน เมื่อได้ฟังคำจากโอรสองค์เล็กจึงเกิดอาการลืมตัวตาถลนออกนอกเบ้า หน้าตาดุดัน แลบลิ้นยาวน่าเกลียดหน้ากลัว ทำปากแบะกว้างเห็นเขี้ยวโง้ว มีเลือดไหลๆ ไหลจากมุมปากและตามมือและลำตัว ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว ตรงเข้าหาพระอิศวรทันทีด้วยความโมโหนัก เมื่อพระอิศวรทรงเห็นถึงกับผงะและตกใจกลัววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนพระแม่กาลีก็ทรงไล่ตามเรื่อยจนพระอิศวรทรงพ้นจากเขตอุทยานไป พระแม่กาลีจึงทรงย้อนกลับไปหาพระขันทกุมาร ด้วยเห็นถึงความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่ยอมผิดคำสัตย์ที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ถึงแม้นว่าจะเป็นถึงพระบิดาของตนก็ตาม เหตุการณ์นี้จึงเป็นที่ชื่นชมและทรงพอพระทัยยิ่งในโอรสของพระองค์

จากนั้นพระแม่กาลีจึงรีบเสด็จออกจากอุทยานเพื่อตามล่าสังหารอสูรทารุณ ซึ่งไม่นานพระแม่กาลีก็ได้เผชิญหน้ากับอสูรทารุณ และด้วยฤทธิอำนาจของทั้ง 2 ฝ่าย การต่อสู้ที่ยาวนานจึงเกิดขึ้น ด้วยร่างกายที่แข็งแรงของพระแม่กาลีการต่อสู้จึงดำเนินไป และเป็นจังหวะที่พระแม่ทรงใช้ดาบฟันคอสูรขาด แต่แล้วเลือดของอสูรก็หยดลงพื้นแผ่นดินกลับกลายเป็นการกลับคืนชีวิตของอสูรร้ายตนนี้โดยไม่ว่าจะฆ่าฟันกี่ครั้งเลือดหยุดสู่พื้นก็บกลับเป็นอสูรเพิ่มทวีเรื่อยๆ เมื่อเป็นดังนี้ต่อไปคงไม่มีวันฆ่าอสูรตนนี้ให้ตายเป็นแน่ พระแม่กาลีจึงคิดกลอุบายเพื่อเอาชัยชนะในครั้งนี้ให้ได้ โดยการตัดหัวอสูรพร้อมทั้งทรงดูดกินเลือดอสูรก่อนที่เลือดจะตกลงสู่พื้น เมื่อกินจนกระทั่งหมดสิ้นแล้วรูปกายของพระแม่กาลีถึงกับพุงกางด้วยความอิ่ม ในมือนั้นถือหัวของอสูรที่ตัดร้อยเป็นพวงไว้จนที่สุดของที่สุด อสูรตนนั้นจึงสิ้นฤทธิ์ลงเพราะไม่มีหยดเลือดหยดลงพื้นแล้วจึงสิ้นสุดลงเพียงนี้

ด้วยความดีพระทัยในการได้รับชัยชนะในครั้งนี้ พระแม่กาลีจึงทรงเต้นรำอย่างสำราญฤทัยที่สุด จนลืมพระองค์ไป ทรงยกเท้าขึ้นสูงหมายจะกระทืบลงบนพื้นโลก เหล่าเทวดาทั้งหลายเห็นแล้วก็กลัวว่าพระแม่กาลีจะกระทืบลงบนพื้นโลกเป็นแน่ จึงเข้าเฝ้าพระอิศวรเพื่อหาทางแก้ไขโดยทันการณ์ แล้วพระอิศวรจึงทรงตระหนักได้ว่าพระแม่กาลีที่รูปกายน่าเกลียดนั้นแท้จริงแล้ว ก็คือพระศรีมหาอุมาเทวี พระมเหสีแห่งพระองค์นั้นเอง เมื่อเป็นดังนี้พระแม่กาลีก็ย่อมต้องคิดตรงกับพระองค์เป็นแน่ว่าแท้จริงแล้วพระแม่กาลีก็ต้องทรงเกรงใจ และจดจำพระองค์ได้บ้างเป็นแน่ และแล้วพระอิศวรจึงเสด็จไปพบพระแม่กาลีและทรงลงไปนอนขวางพื้นโลกไว้ ในขณะที่พระแม่กาลีกำลังดีใจพร้อมจะกระทืบเท้าลงก็พรันต้องชะงักเมื่อมองเห็นพระอิศวรผู้สวามีลงไปนอนขวางแทนอยู่ พระแม่กาลีทรงมีความเกรงใจต่อพระอิศวรผู้เป็นสวามีอย่างที่สุดจึงไม่กล้ากระทืบลงพระอุระ และหยุดการกระทำนั้นลง เหล่าเทวดาทั้งหลายทั้งมวลจึงยกย่องพระอิศวร และแม่กาลี พากันศรัทธาในพระองค์ยิ่งขั้นจากการปราบอสูรร้าย และการแก้ไขเหตุการณ์ในครั้งนี้

พระแม่กาลี หรือ เจ้าแม่กาลี มีอำนาจฤทธิ์ในการปราบปรามสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง มีเทวานุภาพอันแรงกล้า สร้างความวิบัติแก่เหล่าอสูรอย่างรุนแรง เด็ดขาด แฝงเร้นไว้ซึ่งความน่ากลัว ผู้บูชาพระแม่กาลีอย่างถูกต้องและเคร่งครัด พระแม่จะประทานความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ และอำนาจเหนือผู้อื่น

พระแม่กาลี ยังมีพลังอำนาจในการขจัดคุณไสย ลบล้างไสยเวทย์ด้านมืด หากบุคคลใดถูกกระทำทางไสยศาสตร์ เมื่อผู้นั้นได้สวดบูชาอ้อนวอนต่อพระองค์ท่านแล้ว พระองค์ท่านก็มักให้พร ขจัดสิ่งอาถรรพ์ชั่วร้ายให้มลายหายไป

ผู้ใดกระทำการสวดบูชา สรรเสริญ และถวายเครื่องสังเวยแด่พระแม่กาลีเป็นประจำ พระองค์ท่านจะประทานความปลอดภัยมาสู่ผู้นั้น ทรงดลบันดาลให้เกิดความสันติผาสุขแก่ผู้ครองเรือนทั่วไป คุ้มครองผู้บูชาจากภยันตรายและอุบัติเหตุร้ายแรง

พระแม่กาลีทรงมีบุคลิกภาพที่ยากแก่การเข้าใจ มีความลึกลับที่สุดในบรรดาเทพเทวาทั้งปวง พระนางมีความดุดัน เกรี้ยวกราด รูปลักษณ์และอุปนิสัยล้วนเต็มไปด้วยความน่าะพรึงกลัว แต่พระนางก็จะทำลายเฉพาะอสูร ปีศาจ และมนุษย์ที่กระทำการชั่วร้ายเท่านั้น เนื่องจากพระแม่กาลีก็คือเทพ และเทพก็มักปกป้องคุ้มครองผู้กระทำความดีเช่นเดียวกันทุกพระองค์ ฉะนั้น แม้ผู้ที่บูชาพระแม่อย่างเคร่งครัด แต่เป็นคนที่ไม่ดี มีความคิดที่ชั่วร้าย เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น พระแม่ท่านก็จะทำลายบุคคลผู้นั้นเสียโดยไม่ละเว้น!!

                                                               

การบูชาพระแม่กาลี

แท่น หิ้ง หรือ โต๊ะบูชา ขององค์พระแม่กาลี ควรปูด้วย ผ้าสีแดงก่อน แล้วค่อยประดิษฐานรูปภาพหรือเทวรูปลงไป หากประดิษฐานในศาลหรือเทวาลัย ควรทาสีเทวาลัยด้านในให้เป็นสีแดงหรือสีดำ กระถางธูป ถ้าทาสีแดงหรือดำได้ก็ยิ่งดี

ตามตำราโบราณกล่าวไว้ว่า การบูชาพระแม่กาลี น้ำสีแดง ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ (ใช้น้ำสมุนไพรสีแดงหรือน้ำหวานสีแดง) เนื่องจากสีแดงคือสีแห่งพลังที่มีการเคลื่อนไหว เป็นสีแห่งการกำเนิด มีความเร่าร้อน เป็นสีแห่งชีวิตที่สดใส ตลอดจนเปรียบได้ดั่งโลหิตของอสูรร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องนำมาถวายสังเวยแด่พระแม่กาลี ยังมีขนมที่ควรถวาย ถ้าหา ขนมสีแดง ได้ก็ดี หรือ ขนมลาดูป (ลัทดู) ขนมโมทกะ ที่ถวายพระพิฆเนศ ตลอดจน ดอกไม้สีแดง ทุกชนิด (ดอกกุหลาบแดง หรือดอกชบาแดง ก็จัดหาได้สะดวกในเมืองไทย)

ธูปหอม กำยาน น้ำมันหอมระเหย สามารถจัดหากลิ่นใดก็ได้ แต่ที่แนะนำก็จะเป็นกลิ่นจันทน์ น้ำมันอบเชย น้ำมันกระดังงา และการบูร

ที่อินเดีย โดยเฉพาะในเมืองกัลกัตตา เมืองที่มีผู้บูชาลัทธิพระแม่กาลีมากที่สุดในโลก ผู้บูชามักสังเวยพระแม่ด้วยเลือดแพะ น้ำสีแดง ขนมสีแดง ถวายอาหารคาว (เป็นเทพองค์เดียวของฮินดูที่ถวายเนื้อสัตว์อาหารคาวได้) เนื้อสัตว์ทั้งปรุงสุกและกึ่งสุกกึ่งดิบ แต่ดิบๆเลยไม่ได้ ถวายเนื้อสัตว์ต้มสุกได้ แต่ห้ามถวายเนื้อวัวเนื้อควาย ควรใช้เนื้อไก่เนื้อเป็ด

ถ้าถวายอาหารคาว ควรมีเหล้าถวายด้วย แต่ถ้าถวายเพียง ขนม ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหล้า

ถ้าผู้บูชาเลือกที่จะถวายขนม นม น้ำแดง ก็ประดิษฐานพระแม่กาลีร่วมโต๊ะหรือหิ้งเดียวกันกับเทพองค์อื่นๆของฮินดูได้ แต่ถ้าเลือกที่จะถวายอาหารคาวและเนื้อสัตว์ด้วย ก็ควรจะแยกหิ้งออกมาต่างหาก เนื่องจากเทพองค์อื่นๆไม่โปรดเนื้อสัตว์

ขั้นตอนที่ละเลยไม่ได้เลยก็คือ การสวดบูชาสรรเสริญพระแม่กาลีด้วยมนต์ที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ และการทำสมาธิทุกวัน วิธีที่เหมาะสมคือ การประกอบ "ปราณยาม" หรือการทำสมาธิด้วยการหายใจเข้า-ออกโดยลากให้ยาวสุด เข้าสุด-ยาวสุด เป็นระยะเวลาที่เท่าๆกันสม่ำเสมอทุกวัน ควรถือศีลอดบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อถวายแด่พระองค์ (นำเนื้อสัตว์ถวายแก่พระแม่แล้วเราทานมังสวิรัติแทน เพื่อเป็นการแสดงให้พระองค์เห็นถึงความศรัทธาและจงรักภักดีที่เรามีต่อท่าน)

เทศกาลที่สำคัญคือ มหากาลีบูชา (Maha Kali Puja) ตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10 (เช็คดูวันในปฏิทินให้ตรงกันได้ด้วยตนเอง) เป็นวันแห่งการบวงสรวงพระแม่กาลี ผู้ศรัทธาจะกระทำการจัดถวายเครื่องสังเวยชุดใหญ่ และทำการภาวนามนต์บูชาพระองค์ สวดสรรเสริญตลอดวันตลอดคืน

                                   

คาถาบูชาพระแม่กาลี

มีหลายบท เลือกสวดบทใดบทหนึ่ง (หรือสวดทั้งหมด) ***** ก่อนการสวดบูชาพระแม่กาลีจะต้องสวดมนต์ต่อพระพิฆเนศก่อนเสมอ *****

1. โอม กาลี มา (3 จบ)

2. โอม เจ มาตา กาลี

3. โอม สตี เยมาตา กาลี

4. โอม มหาศักติ กาลี มาตา

5. โอม ชยะ ศรี มหากาลี มาตา

6. โอม มหากาลี นมัส

7. โอม ชยะตี มังคลากาลี ภัทรกาลี กะปาลินี ทุรกา ศะมา ศิวาธาตรี สวาฮา สวาธา นโม สะตุเต

8. โอม ตัสสะ ปาระพะตี กาลีทุรคา ปิยังมะมะ ทุติยัมปิ ตัสสะ ปาระพะตี กาลีทุรคา ปิยังมะมะ ตะติยัมปิ ตัสสะ ปาระพะตี กาลีทุรคา ปิยังมะมะ (คาถาบูชาทั้งพระแม่อุมา พระแม่กาลี พระแม่ทุรคา)

9. โอม ชยะตี มหากาลี ชยะตี อาธยะ กาลี มาตา ชยะรูปะ ประจัญทิกา มหากาลิกะ เทวี ชยะตี รักตาสะนะ เราทะระมุขี รุทะรานี อริ โศนิตขะไประ ภะระนี ขัททะคะ ธรณี ศุจี ปาณนี ฯ

ท่าร่ายรำของพระแม่ทุรคาปราบอสูร

คลิปประกอบเรื่องจาก dechatron dechaBoonpeng

 

 

 

 

Credit: http://www.ohmsaya.com/
8 ธ.ค. 58 เวลา 02:40 6,857 20
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...