การเดินทางสู่ป่าอุ้มผาง บริเวณรอยต่อระหว่างชายแดนไทย-เมียนมาร์ โดยทีมงานเดินป่ามหาชนเพื่อพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของ "เปรโต๊ะลอซู" น้ำตกยักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าดิบแห่งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จ.ตาก กับทีมงานนักเดินป่าทั้งหมด 18 คน ด้วยระยะเวลา 3 วัน 2 คืน เพื่อพิสูจน์ความยิ่งใหญ่และอลังการ ซึ่งทั้งหมดนี้เหลือไว้เพียงความทรงจำและสิ่งดีดีมาฝากชาวบล๊อกด้วยภาพที่ จารึกไว้บนแผ่นฟิล์มบางๆ
พวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครในเวลาประมาณ 20.00 น. ของคืนวันศุกร์ที่ 7 ส.ค.2552 และแวะรับเพื่อนนักเดินป่าตามรายทางที่นัดเจอ จนมาสว่างเอาแถวๆ เส้นทางลอยฟ้าบริเวณอำเภอพบพระ พร้อมวิวสวยๆ ของเส้นทางกะเหรี่ยงลอยฟ้า 1,219 โค้งอันโด่งดังในกิตติศัพท์ที่ท้าทายผู้ที่ชื่นชอบการขับรถชมธรรมชาติไป เรื่อยๆ
มาถึงอุ้มผางแล้วยังต้องขับรถเข้าไปที่หมู่บ้านกุยเลอตออีกประมาณ 40 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 2 ช.ม. กว่าจะเริ่มเดินก็น่าจะบ่ายโมงครึ่งไปแล้ว ... ใจยังหวั่นอยู่เลยว่าจะได้มีแมทช์ Night trail trekking แน่แน่เลย
ตลอดเส้นทางอันชื้นแฉะและสมบุกสมบัน อีกทั้งยังลุยน้ำตัดกำลังขาอีกหลายกิโลอยู่ทีเดียว ในท้ายที่สุด 3 ชั่วโมงผ่านไปหลังจากที่พวกเราเดินกันอย่างรีบเร่ง จนมาหยุดเอาที่แค้มป์น้ำตกซึ่งเป็นที่พักของพวกเราทั้ง 2 คืน และในวันรุ่งขึ้นเราก็จะมีคิวขึ้นไปดอยมะม่วงสามหมื่น
หลังจากผ่านคืนนรกไปอย่างทุลักทุเล แค้มป์ของเราหมดสภาพของการเป็นที่อยู่อาศัย คล้ายกับสลัมยังงัยยังงั้น เพราะโดนกระหน่ำด้วยพายุฝนอย่างหนักทั้งคืนทำให้หลายๆ คนแม้จะนอนในเต๊นท์ก็ต้องเปียกแฉะและอีกบางส่วนต้องนอนแช่น้ำรอจนกระทั่ง เช้าเพื่อให้ความโหดร้ายทารุณนี้จากไป
ช่วงเช้าหลังจากแสงอาทิตย์แรกที่ช่วยเร่งปฏิกริยาของสายหมอกเหนือยอดไม้ พวกเราเร่งรีบเดินไต่ระดับตามไหล่เขาขึ้นไปยังยอดเขาลูกที่สูงกว่าเพื่อหลีก หนีให้พ้นจากความหนาเหน็บของสายหมอกและเริ่มการเก็บภาพบรรยากาศของเหล่า ตากล้องที่อัดอั้นมาจากวันแรกที่ไม่ได้ช็อตเด็ดๆ เลย ... ในภาพเห็นน้ำตกอยู่ไกลๆ แต่เสียงดังอื้ออึงของพลัแห่งสายน้ำที่กระหึ่มทั่วหุบเขาจนถึงยอดดอยนู่นเลย ทีเดียว
สายน้ำสุดปลายฟ้าและทิวหมอกทั้งสองสายมาบรรจบกันก่อให้เกิดต้นน้ำแม่กลอง แขนงหนึ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนอีกจำนวนมาก
ขึ้นมาถึงระดับสันเขาลูกที่สามครับ เรายังมีเส้นทางเดินอีกไกล เพราะเพิ่งจะผ่านมาได้ครึ่งทางเท่านั้นเอง เสบียงก็ร่อยหรอ น้ำที่เตรียมมาก็เริ่มหมด กับเวลาที่ใกล้จะบ่ายเต็มทีเพราะเราผลาญเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเก็บภาพ บรรยากาศดีดีนั่นเอง
ทางเดินในช่วงสุดท้าย สภาพป่าและเส้นทางจะเป็นลักษณะของป่าหญ้า หาต้นไม้ใหญ่ๆ ขึ้นได้ยากนัก ช่วงสุดท้ายนี้คล้ายกับเนินมรณะของภูสอยดาวครับ แต่น่าจะชันและเดินลำบากกว่าเยอะด้วยระยะทางที่ขึ้นตลอดแบบนอนสต๊อป
หลังจากขึ้นไปถ่ายรูปบนดอยมาทั้งวัน เราก็มีเวลาไม่มากนักในการทำเวลาลื่นและสไลด์โดยมีบั้นท้ายเป็นเบรกเพื่อให้ มาถ่ายรูปน้ำตกอันยิ่งใหญ่ให้ทันก่อนที่แสงจะลับขอบฟ้าและไม่เป็นใจนัก
อาจจะดูเก็บกดไปหน่อย แต่วันที่สองนี้ ผมและทีมงานกระหน่ำชัตเตอร์สู้สายน้ำอย่างไม่กลัวอุปกรณ์ราคาแพงจะเจ๊ง ด้วยความอัดอั้นและเก็บกดตามสไตล์พวกบ้าถ่ายรูป งานนี้ได้อย่างที่หวังหลายช็อตทีเดียวครับ
น้ำตกรูปหัวใจสุดปลายฟ้าและฝั่งฝันมาบรรจบกัน
อาจกล่าวได้ว่า "เปรโต๊ะลอซู" นั้นยิ่งใหญ่เหนือทีลอซูแน่นอนครับ แต่จะมีสักกี่คนที่มีโอกาสและไขว่คว้าตั๋วเพื่อเดินทางเข้าไปพิสูจน์ สมมติฐานนี้ สำหรับผมแค่ได้เห็นและเข้าไปค้นหาก็มีความหมายมากเกินจะกล่าวในที่นี้ได้ แม้ฝีมือการถ่ายภาพเก็บบรรยากาศอาจจะยังด้อยนัก แต่ความปลาบปลื้มในธรรมชาติที่ประเทศนี้ยังมีให้เห็นได้ เพียงแต่อดทนและเข้าถึงแหล่งที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงนับเป็นประสบการณ์ที่ ล้ำค่า ... จึงเป็นเรื่องราวที่นำมาฝากชาวบล๊อกเพราะผมไม่สามารถเก็บเอาไว้ดูคนเดียวได้