อันดับ 10 จอมพล แฮร์มันน์ วิลเฮล์ม เกอริง (Hermann Goering)
จอมพล แฮร์มันน์ วิลเฮล์ม เกอริง (1893 – 1946) เป็นนายทหารและนักการเมืองคนสำคัญของพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมันหรือพรรคนาซี เขามีบทบาทสำคัญในการขยายระบบเผด็จการของพรรคนาซีให้ครอบคลุมทั่วเยอรมนี รวมทั้งสร้างเสริมแสนยานุภาพทางทหารของเยอรมนีโดยเฉพาะกองทัพอากาศให้มีความแข็งแกร่งและเป็นผู้นำนาซีคนที่สองต่อจากฮิตเลอร์(แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็เถอะ) สุดท้ายเขาถูกจับและถูกศาลพิเศษพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามแห่งนูเรมเบิร์ก เขาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนพัวพันใดๆ กับการกระทำที่เหี้ยมโหดของระบอบนาซี โดยอ้างว่าเป็นงานลับของฮิมม์เลอร์ อย่างไรก็ตามเขาก็ถูกตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 15 ตุลาคม 1946 แต่เขาก็กินยาพิษตายในห้องขังไม่กี่ชั่วโมงก่อนกำหนดการประหาร เกอริงถึงแก่กรรมขณะอายุ 53 ปี
อันดับ 9 วลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin)
วลาดิมีร์ เลนิน (มีชื่อเต็มว่า วลาดิมีร์ อิลลิช เลนิน (Vladimir Ilyich Lenin) (1870- 1924) ผู้นำนักปฏิวัติมาร์กซิส คนแรกของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต เป็นหัวหน้าพรรคบอลเชวิก นายกรัฐมนตรีคนแรกและเป็นเจ้าของแนวคิดส่วนใหญ่ในลัทธิเลนินเป็นคนล้มระบอบพระเจ้าซาร์และมีส่วนอย่างมากที่ทำให้รัสเซียเป็นอย่างทุกวันนี้
เลนินเสียชีวิตในวันที่ 21 มกราคม 1924 ส่วนสาเหตุการตายนั้นยังเป็นที่กังขาอยู่จนถึงปัจจุบัน บ้างก็ว่าเขาตายเพราะ การอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองบ้างก็ว่าเลนินเสียชีวิตจากโรคซิฟิลิส หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้วก็มีความพยายามอย่างมากในการรักษาศพของเขาให้เป็นมัมมี่ เนื่องจากในช่วงต้นคริสตทศวรรษ 1920 การเคลื่อนไหวเกี่ยวกับลัทธิพลังจักรวาลในรัสเซียค่อนข้างเป็นที่นิยม ทำให้มีความพยายามที่จะแช่แข็งร่างของเลนินไว้ เพื่อจะทำให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาในอนาคต อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นได้รับการซื้อเข้ามาในรัสเซีย ร่างของเลนินได้ถูกนำไปดอง และตั้งไว้ในในสุสานที่จตุรัสหน้าวังเครมลินกรุงมอสโกจนถึงปัจจุบันว่ากันว่าเลนิน เป็นศพที่ได้รับการดูแลรักษาดีที่สุดในโลก
อันดับที่ 8 ซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein)
ซัดดัม ฮุสเซน หรือ ศ็อดดาม ฮุเซน อับดุลมะญีด อัลตีกรีตี (1937-2006) เป็นอดีตประธานาธิบดีของอิรัก ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 1979ปกครองประเทศโดยใช้ระบอบเผด็จการ ทำให้อิรักทรุดโทรม ทำลายทั้งมาตรฐานการครองชีพและสิทธิมนุษยชน ก่อสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน และต่อต้านสหรัฐ จนกระทั้งสหรัฐและฝ่ายพันธมิตรบุกอิรักเมื่อปี 2003 และซัดดัมถูกจับกุมโดยกองกำลังสหรัฐเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2003 ในขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในหลุมขนาดเล็ก ในฟาร์มแห่งหนึ่งชานเมือง และวันที่ 5 พฤศจิกายน 2006 ผู้พิพากษาศาลอิรัก สั่งลงโทษประหารชีวิตโดยการแขวนคอซัดดัม ในคดีสังหารหมู่ชาวชีอะห์ 148 คน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองดูลเมื่อปี1982 โดยเขาถูกประหารชีวิตในวันที่ 30 ธันวาคม 2006
เมื่อถึงที่ประหารซัดดัม ฮุสเซน เจ้าหน้าที่ได้ถอดหมวกของซัดดัมออกแล้วถามว่าจะกล่าวสั่งเสียอะไรหรือไม่ ซัดดัม กล่าวว่า ไม่ต้องการสั่งเสียใด ๆ อีก หลังจากนั้นก็สวดมนต์โดยมีครูสอนศาสนาชาวสุหนี่เป็นผู้นำสวด เมื่อสวดเสร็จก็เดินสู่ที่ประหารโดยปฏิเสธที่จะให้เจ้าหน้าที่คลุมศีรษะก่อนประหาร และในขณะที่เพชฌฆาตนำห่วงเชือกมาคล้องคอเตรียมนำดวงวิญญาณอดีตผู้นำอิรักออกจากร่าง ซัดดัม ได้ตะโกนถ้อยคำสรรเสริญพระเจ้า และกล่าวว่าอิรักจะได้รับชัยชนะ และปาเลสไตน์คืออาหรับ ซัดดัม ล่าวซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งดวงวิญญาณออกจากร่างทันทีที่เพชฌฆาตลงมือประหาร
อันดับ 7 เหมา เจ๋อตุง (Mao Tse-tung)
เหมา เจ๋อตง หรือ เหมา เจ๋อตุง (1893 –1976) อดีตเคยเป็นบุตรชายในตระกูลชาวนาเจ้าของที่ดิน จบการศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครู ก่อนจะเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังจากถูกปราบปรามโดยนายพลเจียง ไคเชก เหมาฯ ได้ขึ้นมาเป็นประธานของคณะโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ภายใต้การปกครองของเหมา เจ๋อตง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ชนะสงครามกลางเมืองจีน และปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ได้ เหมา เจ๋อตงได้ประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน
จากนั้นเหมาก็ดำเนินนโยบายการเมืองอย่างโหดร้าย เขากำจัดคนที่ออกมาพูดอย่างอำมหิต คนหลายแสนคนถูกระบุว่าเป็นพลเรือนฝ่ายขวาและถูกไล่ออกจากงานคน หลายหมื่นคนถูกส่งเข้าคุกผลจากความทะเยอทะยานของเหมา ทำให้จีนตกอยู่ในภาวะลำบาก คนทั้งหมู่บ้านเสียชีวิตด้วยความอดอยาก เมื่อประชาชนไม่มีอะไรจะกิน เขาก็กินร่างของคนที่เพิ่งตาย ไม่มีใครทราบว่าลัทธิการกินเนื้อมนุษย์ได้แพร่ขยายไปอย่างไร แต่ผู้คนราว 40 ล้านคนต้องเสียชีวิตด้วยความหิวโหย ระหว่างปี 1959 – 1961 ความสับสนกระจายไปทั่วจีนราวกับพายุขบวนการร้ายกาจถูกตั้งขึ้นเพื่อกำจัดผู้ที่เป็นกลางทางการเมือง ขบวนการร้ายกาจครอบงำไปทั้งประเทศ 1976 เขาเสียชีวิตด้วยอายุ 83 ปี แต่เบื้องหลังความนิ่งเงียบของเขาทำให้เรารู้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการประหารประชากรร่วมชาติกว่า 10 ล้านคนแต่กระนั้นมันก็ทำให้จีนเป็นประเทศมหาอำนาจเบอร์ 2 ของโลกอย่างทุกวันนี้
อันดับ 6 นิโคไล เชาเชสกู(Nicolae Ceausescu)
นิโคไล เชาเชสกู (1919 – 1989) เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โรมาเนียระหว่าง 1965 – 1989 และเป็นประธานาธิบดีประเทศโรมาเนียระหว่าง 1975 – 1989เขาถูกตัดสินชีวิตโดยศาลทหาร จากข้อหามีทรัพย์สินโดยผิดกฎหมานไปจนถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก่อนการประหารเขาร้องเพลง “The Internationale” ท่อนหนึ่ง และประกาศว่า ประวัติศาสตร์จะตัดสินเขาว่าไม่ผิด ส่วนภรรยาของเขากรีดร้องดังลั่นก่อนที่จะทรุดลงกับพื้น(ภรรยาของเขาติดอันดับผู้หญิงโหดโลกไม่ลืม ภาค 2 จะเขียนเร็วๆ นี้จ๊ะ)
อันดับ 5 เบนีโต มุสโสลีนี (Benito Mussolini)
เบนีโต อามิลกาเร อานเดรอา มุสโสลีนี (Benito Amilcare Andrea Mussolini) เรียกชื่อโดยทั่วไปว่า “อิลดูเช” (Il Duce) แปลว่า “ท่านผู้นำ” เป็นจอมเผด็จการและนายกรัฐมนตรีของประเทศอิตาลีในช่วง 1922-1943 อดีตเคยเป็นบุตรชายช่างตีเหล็ก ได้อำนาจเป็นผู้นำพรรคฟาสซิสต์ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1922 ภายหลังกายเป็นผู้เผด็จการ ของอิตาลี และร่วมมือกับฮิตเลอร์ในสงครามโลกครั้งที่สองทั้งๆ ที่ชาวอิตาลีไม่มีใครอยากรบ จึงต่อต้านเขา เขาหลุดจากอำนาจ แต่พอเยอรมันบุกอิตาลี ฮิตเลอร์ก็แต่งตั้งให้ใหม่ ปลายสงครามโลกมุสโสลินี ถูกจับถูกรุมซ้อมด้วยชาย 15 คน และถูกยิงเมื่อวันที่ 28 เมษายน 1945 ภายหลังเขาตายศพของเขา, ภรรยาคลาเรตต้าและคนสนิทออดิสิโอถูกนำไปทิ้งอยู่ข้างถนน!! ประชาชนที่โกรธแค้นต่างถ่มน้ำลายใส่ บางคนยกเท้าเตะที่ศีรษะ บางคนเต้นระบำเริงร้องไปรอบ ศพ ผลสุดท้ายศพทั้ง 3 ถูกแขวนประจานห้อยศีรษะลงมา
อันดับ 4 เช เกบารา (Che Guevara)
เอร์เนสโต ราฟาเอล เกบารา เด ลา เซร์นา (Ernesto Rafael Guevara de la Serna) รู้จักในชื่อ เช เกบารา (Che Guevara) (มักอ่านผิดเป็น เกวารา) (14 มิถุนายน 1928- 9 ตุลาคม 1967) นักปฏิวัติแนวมาร์กซิสต์ชาวอาร์เจนตินา และเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม 26 กรกฎาคมของฟิเดล คาสโตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปฏิวัติประเทศคิวบาเมื่อปี ค.ศ. 1959 และยังถูกขนานนามว่าชายผู้สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกในศตวรรษนั้นด้วย
เขาทิ้งฐานันดร และครอบครัวของตนเอง แล้วมุ่งสู่ประเทศคิวบาเพื่อหวังจะล้มล้างระบอบการปกครองเผด็จการของฟูลเจลซิโอ บาซิสต้า สร้างกลุ่มกำลังของตนเอง เพื่อหวังจะทำการปฏิวัติในคิวบา หลังจากปฏิวัติสำเร็จในคิวบา เชได้ออกจากคิวบาในปี 1965 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ประเทศอื่นเพื่อก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองอีก เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และประเทศโบลิเวีย ซึ่งที่โบลิเวียนี้ เขาถูกจับได้โดยกองทัพโบลิเวียที่สนับสนุนโดยซีไอเอของสหรัฐอเมริกา และถูกประหารชีวิตทันทีหลังจากที่ถูกจับตัวได้
9 ตุลาคม ปี 1967 เป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเช ทหารโบลิเวียกำลังจะประหารชิวิตเขา เชได้ทิ้งประโยคสุดท้ายของชิวิตเขาไว้ว่า “ยิงฉันเลย… ฉันมันก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนนึง” เชถูกยิงหลารยนัด หลังจากนั้นร่างของเชถูกตัดมือและเท้าเพื่อไม่ให้ถูกสืบสวนอย่างเป็นทางการแต่สุดท้ายมีการค้นพบศพของเขาและถูกนำไปฝังเยี่ยงวีรบุรุษ
อันดับ 3 พล พต (Pol Pot)
ซาลอท ซาร์(Saloth Sar) หรือ พล พต(1925-1998) เป็นผู้นำเขมรแดง และเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาในปี 1976 -1979 โดยใช้วิธีที่รุนแรง เพื่อปรับปรุงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมพึ่งตัวเอง รวมถึงการโดดเดี่ยวประเทศออกจากอิทธิผลต่างชาติ ปิดโรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน ยกเลิกระบบธนาคาร เงินตรา ฯลฯ และสังหารหมู่ประชาชนชาวเขมรนับพันล้าน ผลสุดท้ายเขาถูกกองกำลังเวียดนามยึดประเทศและเขาก็หายไปจากประวัติศาสตร์เขมรนานนับสิบปี(มีข่าวว่ารัฐบาลไทยช่วยเหลือหาที่หลบซ่อนพอล พต) ในระหว่างที่เขาหายตัวไปนั้นเขากลายเป็นคนอัมพาตครึ่งตัว เป็นโรคอัลไซเมอร์ ที่เอาแต่พูดเรื่องอดีตและอยู่สิ้นหวัง จนสมาชิกเขมรแดงบางคนมีความคิดว่าจะส่งเขาไปศาลพิเศษสำหรับอาชญากรต่อมวลมนุษยชาติเพื่อตัดสินที่จะเกิดขึ้น แต่สุดท้ายเมื่อวันที่ 15 เมษายน 1997 นายพอล พตก็เสียชีวิตอย่างสงบภายในกระท่อมที่คุมขังเขาสภาพศพของเขานั้นดูไม่ออกเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยเป้นผู้นำโหดสังคมเป้นล้าน คนใกล้ชิตของพอลพตบอกว่าเขาตายเพราะโรคหัวใจ ถึงแม้หลายฝ่ายจะพยายามเข้าไปตรวจสอบศพ แต่อีก 2 วันต่อมา ร่างไร้วิญญาณของ พอล พต ถูกฌาปณกิจด้วย ยางรถและกองขยะอย่างไร้ศักดิ์ศรี ทำให้ชาวโลกสงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่า พอล พตเสียชีวิตเพราะอะไรกันแน่ ?
อันดับ 2 จอห์น เอฟ เคนเนดี (John F Kennedy)
จอห์น เอฟ เคนเนดี หรือจอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี (John Fitzgerald Kennedy) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เจเอฟเค (1917 —1963) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา เจ้าของวาทะเปี่ยมไปด้วยจิตสำนึกหน้าที่ความรับผิดชอบของพลเมือง: “จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ” เป็นอีกผู้หนึ่งที่ถูกสังหารด้วยอาวุธปืนไรเฟิลโดยมือปืน เมื่อวันที่ 22พฤศจิกายน 1963 กลางเมืองดาลลาส แห่งรัฐเท๊กซัส ขณะที่ขบวนของผู้นำประเทศเคลื่อนมาถึง บริเวณทางโค้งก่อนเข้าอุโมงค์ มุ่งหน้าไปยังสนามบินดาลลาส
ซึ่งในรถก็ประกอบด้วยด้วยประธานาธิบดีอยู่ด้านหลังสุด ช่วงที่ 3 โดยมีภรรยานั่งอยู่เคียงข้าง(รถมี 3 ช่วง) และช่วงที่ 2 มี นายจอห์น บี คอนนอลลี(John B. Connally) ผู้ว่ารัฐเทกซัสมาร่วมเดินทางไปด้วย(ท่านได้รับกระสุนครั้งนี้เหมือนกันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส)ท่ามกลางการคุ้มกันอย่างหนาแน่นนั้นเอง คนร้ายขึ้นไปดักรอบนชั้น 6 ของอาคาร 8 ชั้น ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณมุมทางโค้ง ก่อนลงอุโมงค์ดังกล่าว
“จอห์น เอฟเคนเนดี” ได้นั่งเบาะหลังอยู่กับภรรยา บนรถประจำตำแหน่ง ซึ่งเป็นรถเปิดประทุน เพื่อจะได้สะดวกในการโบกมือทักทายประชาชนที่ยืนให้การต้อนรับทักทายอยู่สองฝั่งถนนจำนวนมาก แต่บริเวณทำเลที่คนร้ายเลือกนั้น เป็นจุดที่ประชาชนยืนต้อนรับอยู่เบาบางแล้ว เพราะเป็นทางโค้ง และทางลงอุโมงค์
ทันทีที่รถ “จอห์น เอฟ เคเนดี” ค่อยๆ แล่นผ่านทางโค้งมาด้วยความเร็วไม่มากนัก ไปได้ประมาณ 15 เมตร คนร้ายได้ลั่นกระสุนนัดแรกเข้าบริเวณต้นคอเลือดออก เขาตกใจ แต่อาการยังไม่สาหัส ทันใดนัดเองกระสุนนัดที่สองก็ตามมา เมื่อรถแล่นไปได้ประมาณ 10 เมตร หรือประมาณ 5-6 วินาที คนร้ายได้ลั่นกระสุนนัดที่สอง เข้าบริเวณศีรษะ แรงกระสุนเจาะจนกะโหลกเปิด สมองกระจาย
พอดีในวันนั้น เคนเนดีสวมแถบรัดเอวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคทางเดินอาหารและภาวะกระดูกพรุน แถบรัดนี้เองที่ค้ำไม่ให้เขาฟุบคว่ำหน้าเมื่อถูกกระสุนนัดแรก ร่างของเขายังคงตั้งตรงอยู่ และเป็นโอกาสให้กระสุนนัดที่สองสังหารเขาได้
ภรรยาแจ๊กกี้ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเผาขน ผู้คนร้องลั่น เสียงร้องดังไปทั่วเมืองฟอร์ทเวิร์ธ คณะผู้ใกล้ชิดรีบส่งประธานาธิบดีไปยังโรงพยาบาลดัสลัลให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยชีวิต
แต่มันสายไปเสียแล้ว จอห์น เอฟ เคนเนดี เสียชีวิตในเวลาต่อมา เนื่องจากทนพิษบาดแผนไม่ไหว สมองถูกทำลายเสียหายอย่างรุนแรง ปิดชีวิตประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ไปตลอดกาล
อันดับ 1 มาริลีน มอนโร (Marilyn Monroe)
อันดับสุดท้าย หรือศพสุดท้ายไม่ใช้ผู้นำ ไม่ใช้นักปฏิบัติแต่อย่างใด แต่เธอก็มีชื่อเสียง และโงดังไปทัวโลก และศพของเธอนั้นเป็นเครื่องตอบย้ำว่าอนิจจังจริงๆ
มาริลีน มอนโร มีชื่อเดิมว่า นอร์ม่า จีน เบเกอร์ (1926 – 1962) เป็นอดีตนักแสดง นักร้อง นางแบบชื่อดัง ชาวอเมริกันและของโลก นอกจากนี้เธอยังมีข่าวลือว่าเธอเป็นชู้รักของประธานาธิปดี จอห์น เอฟ. เคนเนดีอีกด้วย อดีตเคยเป็นเด็กกำพร้าพ่อยากจนมาก่อนและเมื่ออายุ 16 ปี จึงเริ่มอาชีพนางแบบ ต่อมาก็เริ่มแสดงภาพยนตร์ซึ่งล้มลุกคลุกคลานมาเรื่อย ภาพยนตร์เรื่อง Gentleman Prefer Blondes (1953) เธอได้ค่าตัวอาทิตย์ละ 500 เหรียญ ในขณะที่ เจน รัสเซล ดารานำอีกคนได้ 200,000 เหรียญ และเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้โด่งดัง มาริลีนก็กลายเป็นดาราที่โลกไม่เคยลืมนับแต่นั้นเป็นต้นมา
มาริลีน มอนโร เสียชีวิตเมื่อ วันที่ 5 สิงหาคม ปีค.ศ.1962 ที่ แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา โดยแม่บ้านของมอนโรชื่อ ยูนิส มูร์เรย์ เป็นผู้พบเห็นไร้วิญญาณของมาริลีน มอนโร วัย 36 ปี นอนตายอยู่บนเตียงในห้องนอน ร่างศพของเธอนั้นไม่มีเค้าของคนเคยสวยเลย เหมือนคุ๊ณยายอายุ 60 มากกว่า จนไม่เชื่อว่านี้คือศพของหญิงอายุ 36 ปี
ภายหลังจากการชันสูตรและแถลงการต่อสาธารณะชนว่า มาริลีน มอนโร เสียชีวิตเพราะเธอทานยานอนหลับเกินขนาด คาดว่าเธอเสียชีวิตวันที่ 4 สิงหาคม เพราะมีขวดยาเทเรี่ยราดอยู่บนโต๊ะ กระจกและแก้วแตกกระจาย มีการทำลายข้าวของในบ้านด้วย ส่วนยาที่ใช้เกินขนาดคาดว่าเป็นยา “เอนนีมา”เธอ เป็นยาลดความอ้วนชนิดหนึ่ง ที่คนในวงการบันเทิงมักชอบใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมาริลีน มอนโร ฉีดยานี้ลงที่ก้น แต่แพทย์ชันสูตรยังสงสัยว่ายาชนิดนี้ทำให้เธอตายจริงหรือ เพราะก่อนหน้านั้นเธอก็ใช้ยาชนิดด้วย มีการสืบสวนว่าบางที่การตายของเธอนั้นอาจเป็นทฤษฏีสมคบคิดเหมือนกรณีศึกษาการเสียชีวิตของ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่เสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม
ที่มา: http://maintenanc.blogspot.com/2011/03/10-top-10-famous.html