การลวงโลกของมนุษย์พิลท์ดาวน์
มนุษย์และสัตว์ต่างมีสมองเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ก็คือมนุษย์มีสติปัญญาที่เป็นพลังของสมองในขณะที่สมองของสัตว์ไม่มีพลังสติปัญญา เพราะสติปัญญานี่เองที่ทำให้มนุษย์ตั้งคำถามกันมานานแล้วว่ามนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากไหน? มนุษย์มายังโลกนี้ได้อย่างไร? มนุษย์มีสถานะภาพอะไรในโลกนี้? และคำถามอื่นๆในทำนองนี้อีกมากมาย
แต่คำถามประเภทนี้เกิดขึ้นน้อยนักในสมองของผู้นับถือศาสนาที่มาจากพระเจ้า เช่น ศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์และอิสลาม เพราะคำสอนของศาสนาเหล่านี้ให้คำตอบตรงกันว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาและพระองค์ทรงส่งมนุษย์มายังโลกนี้เพื่อรับใช้พระองค์ หลังจากตาย มนุษย์จะต้องกลับไปตอบพระองค์ว่าตัวเองทำอะไรไว้ในขณะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
โลกของผู้ศรัทธาในพระเจ้าจึงไม่เสียเวลาไปกับการค้นหาหลักฐานมาแย้งกับความจริงดังกล่าวข้างต้น แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์ที่มนุษย์หันหลังให้คำสอนของศาสนาและหันมานับถือวิทยาศาสตร์แทน นักวิทยาศาสตร์ที่คนยุคใหม่นับถือเหมือนศาสดาพยายามจะหาทางลบล้างคำสอนของศาสนาด้วยการสันนิษฐานว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง
การสันนิษฐานนี้ได้กลายเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการขึ้นมาเมื่อชาร์ลส ดาร์วิน เขียนหนังสือเรื่อง The Origin of Species (ต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์) ออกมาหลังจากที่เขาสู้อุตส่าห์เดินทางไกลและใช้เวลายาวนานเพื่อหาคำตอบเรื่องที่มาของมนุษย์ หลังจากนั้น ทฤษฎีของเขาได้ถูกนำไปเผยแพร่และสอนในสถาบันการศึกษาต่างๆทั่วโลก
แม้ทฤษฎีของเขามีคนสนับสนุนมากมายจนถึงกับมีการทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกนับร้อยฉบับ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนว่าเป็นความจริง ข้อโต้แย้งสำคัญต่อทฤษฎีของเขาคือ ถ้าหากว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีซากโครงกระดูกที่เป็นช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์เป็นหลักฐาน เพื่อที่จะตอบคำถามที่ท้าทายนี้ หลักฐานเท็จเรื่องการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์พิลท์ดาวน์จึงถูกสร้างขึ้น
ใน ค.ศ.1912 มีการพบหัวกะโหลกมนุษย์ที่มีกรามเหมือนกรามของลิงขนาดใหญ่ที่เมืองพิลท์ดาวน์ในอังกฤษโดยนักสะสมของเก่าคนหนึ่งชื่อชาร์ลส์ ดอว์สัน หลังจากนั้น ข่าวการค้นพบของเขาก็แพร่ออกไปทั่วโลกว่าหัวกะโหลกนั้นเป็น “ช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์” และเป็น “ชาวอังกฤษยุคแรกที่สุด”
ต่อมา หัวกะโหลกมนุษย์พิลท์ดาวน์ได้ถูกนำไปตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติของอังกฤษเพื่อแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของมนุษย์จนกระทั่ง ค.ศ.1953 กะโหลกมนุษย์พิลท์ดาวน์นี้สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นอย่างมาก แต่ทฤษฎีของชาร์ลส ดาร์วินไม่เพียงแต่พูดถึงวิวัฒนาการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันยังพูดถึงการคัดเลือกตามธรรมชาติที่ผู้แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่อยู่รอดด้วย เมื่อทฤษฎีของเขาถูกนำมาใช้ในทางธุรกิจโดยเฉพาะในระบบทุนนิยม มันส่งเสริมคนให้สร้างธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อทำลายธุรกิจที่เล็กกว่าและอ่อนแอกว่า เมื่อถูกนำมาใช้ในการเมือง มันส่งเสริมให้รัฐบาลสร้างอำนาจบาตรใหญ่เพื่อทำลายชาติเล็กที่อ่อนแอกว่า และทำให้มนุษย์มองเห็นว่าการที่ผู้อ่อนแอถูกรังแกจนล้มหายตายจากไปนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ความเท็จไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ตลอดไปเหมือนความจริง เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า ประดิษฐ์กรรมและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์นั่นเองที่พิสูจน์ว่ากะโหลกมนุษย์พิลท์ดาวน์เป็นหลักฐานเท็จที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยการเอาหัวกะโหลกของมนุษย์กับกรามของลิงอุรังอุตังมาประกอบเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน
การพิสูจน์ด้วยวิธีการที่เรียกว่า“ฟลูออไรด์เทสต์”ทำให้นักวิทยาศาสตร์พบว่าความสามารถในการดูดซึมน้ำยาของกะโหลกส่วนบนกับกระดูกกรามมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด นักวิทยาศาสตร์จึงยืนยันว่ากะโหลกส่วนบนและกระดูกกรามส่วนล่างเป็นของสิ่งมีชีวิตคนละเผ่าพันธุ์กัน
เท่านั้นเอง พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติของอังกฤษจึงหน้าแตกและต้องยกเอากะโหลกมนุษย์พิลท์ดาวน์ออกไปจากที่ตั้งแสดงอย่างฉับพลันทันที
หลังจากสอบสวนหาต้นตอผู้สร้างเรื่องเท็จนี้ขึ้นมาเป็นเวลา 40 ปี เจ้าหน้าที่สอบสวนพบว่าเรื่องกะโหลกมนุษย์พิลท์ดาวน์นี้เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ภายในพิพิธภัณฑ์คนหนึ่งซึ่งไม่พอใจเพื่อนร่วมงานด้วยกัน จึงสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้ง แต่เมื่อพบความจริง พิพิธภัณฑ์ก็ไม่สามารถเอาผิดใครได้ เพราะผู้เป็นสาเหตุของเรื่องได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว จะขุดเอาหัวกะโหลกของคนต้นเหตุมาตั้งแทนก็จะเป็นการประจานพิพิธภัณฑ์ไปเสียเอง
ปัจจุบัน การสร้างเรื่องเท็จลวงโลกเช่นนี้ยังมีอยู่ในรูปแบบต่างๆเพื่อนำมาใช้เป็นเหตุผลทางการเมือง เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวหกล้านคนโดยฮิตเลอร์ การสะสมอาวุธทำลายร้ายแรงของซัดดัม ฮุสเซน การถล่มตึกเวิร์ลเทรดของกลุ่มอัลกออิด๊ะฮฺ เป็นต้น ดังนั้น ถ้าได้ข้อมูลข่าวสารจากตะวันตกมา อย่าเพิ่งปักใจเชื่ออะไรง่ายๆ เมื่อมีสงครามเกิดขึ้น สิ่งแรกที่ถูกสังหารก่อนคือความจริง
ขอขอบคุณข้อมูล: บรรจง บินกาซัน
ที่มา: http://islamhouse.muslimthaipost.com/main/index.php?page=sub&category=67&id=19825