10 มหันตภัยถล่มโลก

10 มหันตภัยถล่มโลก

แผ่นดินไหว พายุ สึนามิ น้ำท่วม โรคระบาด ฯลฯ ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วชีวิตคุณพวกนี้ จะทำให้คุณเริ่มไม่มั่นใจ ในสุขภาพของโลกแล้วละก็ บอกได้เลยว่านั่นมันแค่เด็กๆ!

10 . แผ่นดินไหว & สึนามิ ปี 2004

แรงสั่นสะเทือน : 9.3

สึนามิ : สูง 30 เมตร

ผลกระทบ : 11 ประเทศ

ตาย : 229,000 ศพ

 

       อันที่จริงแล้ว แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเท่าที่มีการบันทึกไว้ คือแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 1960 มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศชิลี แรงสั่นสะเทือนวัดได้ถึงขนาด 9.5 ฟังดูเหมือนจะโหด แต่สร้างความเสียหายไม่มากนัก แถบชายฝั่งชิลีตอนใต้มีคนตาย 1,655 ศพ บาดเจ็บ 3,000 คน แม้จะเกิดคลื่นยักษ์ สึนามิแต่ก็กวาดชีวิตคนไปเพียง 61 ชีวิต ในญี่ปุ่นล้มหายกันไป 138 ศพ กับอีก 32 ศพในฟิลิปปินส์ ส่วนเกาะฮาวาย ไม่มีรายงานคนตาย ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับระดับความรุนแรงของการสั่นสะเทือน

       ไหนเลยจะสู้เหตุการณ์นี้ แผ่นดินไหวที่เกิดในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2004 มหันตภัยครั้งรุนแรงที่สุด ที่ยังคงตามหลอกหลอนคนไทยทั้งประเทศ มันเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ แรงสั่นสะเทือน วัดได้ขนาด 9.3 แต่เกิดคลื่นสึนามิที่คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 229,000 ชีวิต

       จุดกำเนิดอยู่ใต้มหาสมุทร เมื่อเวลา 00:58:53 (ตามเวลามาตรฐาน) เช้าตรู่ของวันบ็อกซิ่งเดย์ ศูนย์กลางแผ่นดินไหว อยู่แถบชายฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย มันทำให้เกิดสึนามิที่มีพลังทำลายล้างมหาศาล สาดซัดถาโถมเข้าใส่ตลอดชายฝั่งรอบมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงทะเลอันดามัน ผู้คนกว่า 225,000 ชีวิตถูกกลืนหายไป กับเกลียวคลื่นที่สูงถึง 30 เมตร นับเป็นโศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดครั้งหนึ่ง ซึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบ มีทั้งหมด 11 ประเทศ แต่ที่สาหัสที่สุดก็ได้แก่ อินโดนีเซีย ศรีลังกา อินเดีย และไทย

       นอกจากจะเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์แล้ว มันยังเป็นการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ที่ยาวนานที่สุดเท่าที่มีการบันทึก ด้วยสถิติการเคลื่อนไหวนาน 8.3-10 นาทีติดต่อกัน ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ มากถึง 1 เซนติเมตรในคราวเดียว และส่งแรงสั่นสะเทือนไปไกลถึงอลาสก้า

       ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ทำให้มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ และเราก็ทำได้แต่ภาวนาว่า... ....อย่าเกิดขึ้นบ่อยนักเลย

9. โคตรพายุหิมะถล่มอเมริกา ปี 1888

ความเร็วลม : 129 กม./ชม.

ความหนาของหิมะ : ตามท้องถนน 1.27 เมตร, สูงสุด 15.8 เมตร

ตาย : 400 ศพ (เฉพาะนิวยอร์ก 200 ศพ)

 

       มหากาฬพายุหิมะที่สาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติอเมริกัน บังเกิดขึ้นเมื่อ 11-14 มีนาคม 1888 เมืองใหญ่อย่างนิวเจอร์ซีย์ นิวยอร์ก แมสซาชูเซ็ต และคอนเน็กติคัต จมอยู่ใต้กองหิมะหนา 102–127 เซนติเมตร เท่านั้นยังไม่พอ ลมพายุที่มีความเร็ว ถึง 129 กม./ชม. ยิ่งช่วยเพิ่มชั้นหิมะในบางพื้นที่ให้หนาขึ้นเป็น 15.8 เมตร ถนนทุกสายถูกตัดขาด ผู้คนติดแหง็กอยู่ในที่พัก อาศัยเป็นอาทิตย์ๆ ทุกคนต่างพยายามจะออกมาข้างนอกให้ได้เพราะกลัวจะโดนไล่ออกจากงาน หารู้ไม่ว่า ในสภาพการณ์เลวร้าย ขาดแคลนไฟฟ้ากันทั้งเมืองขนาดนี้ มันไม่มีออฟฟิศไหนเปิดทำงาน แต่กว่าจะรู้ก็สายไปแล้ว เฉพาะในเมืองนิวยอร์ก ประชาชนกว่า 30% ต้องนอนแข็งตายอย่างเดียวดายระหว่างตะเกียกตะกายหาทางกลับบ้าน

       ความวิปริตของอากาศเกิดขึ้นปุบปับแบบไม่มีเค้าลาง จากพายุฝนที่กำลังพัดกระหน่ำ แปรเปลี่ยนเป็นพายุหิมะพร้อมอุณหภูมิ ที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว พายุเริ่มก่อตัวตั้งแต่หลังเที่ยงคืนของวันที่ 12 มีนาคม มันโหมกระหน่ำแบบไม่มีทีท่าว่าจะซาลง ตลอดวันครึ่ง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา ตามรายงานระบุว่า หิมะตกกระหน่ำลงมาจนปกคลุมไปทั่วหลังคาบ้านเรือน ในนิวยอร์ก และนิวอิงแลนด์ โดยเฉพาะที่เขตเกรฟเซนด์ในกรุงนิวยอร์ก หิมะกองสูงถึง 15.8 เมตร

       พายุนี้ถูกเรียกขานว่า เฮอริเคนยักษ์สีขาว (Great White Hurricane) มันอาละวาดจนทำให้เมืองทางชายฝั่งตะวันออก กลายเป็นอัมพาตกันไปทั้งแถบ ระบบโทรเลข (การสื่อสารที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น) เจ๊งสนิท เป็นผลให้นิวยอร์ก บอสตัน ฟิลาเดเฟีย บัลติมอร์ และวอชิงตัน ดี.ซี. ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปหลายวัน เรือประมงกว่า 200 ลำถูกแรงของพายุ จมลงกลางอ่าว ทำให้ลูกเรือกว่า 100 ชีวิตต้องสังเวยลงไปด้วย

       ในนิวยอร์ก ทั้งถนนและทางรถไฟล้วนเดี้ยงสนิทไปหลายวัน ระบบดับเพลิงเสียหายยับเยิน แถมเมื่อตอนหิมะละลาย มันยัง ทำเกิดน้ำท่วมไปทั่วเมือง โดยเฉพาะย่านบรูคลินที่ถือเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุด จนทางการต้องพยายามขนหิมะไปทิ้งใน มหาสมุทรแอตแลนติก มหันตภัยครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไปทั้งสิ้น 400 ชีวิต และครึ่งหนึ่งของจำนวนนั้นตายในนิวยอร์ก

8. ก๊าซมรณะเหนือทะเลสาบไนออส ปี 1986

สถานที่ : ทะเลสาบไนออส ประเทศแคเมอรูน

ก๊าซพิษ : คาร์บอนไดออกไซด์

ตาย : มนุษย์ 1,700 ศพ, ปศุสัตว์ 3,500 ศพ

 

       จะสยองแค่ไหน ถ้าคุณอุตส่าห์ทุ่มเงินมหาศาลไปซื้อบ้านอยู่ริมทะเลสาบ แต่แล้ววันดีคืนดี ขณะกำลังนอนกระดิกเท้า ดูหนัง AV อยู่ในห้อง ก็บังเกิดก๊าซพิษคาร์บอนไดออกไซด์ปะทุขึ้นจากก้นทะเลสาบ ส่งผลให้ทั้งมนุษย์และสัตว์ที่สูด มันเข้าไป, รวมทั้งคุณด้วย, ต้องทนทรมานกับการขาดอากาศบริสุทธิ์ แล้วค่อยๆ ขาดใจตายไปอย่างหมดทางแก้

       การระเบิดของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ เกิดขึ้นที่ทะเลสาบไนออส เมื่อ 21 สิงหาคม 1986 ซึ่งทำให้มีคนตายไปราว 1,700 ศพ

       ทะเลสาบไนออส เป็นทะเลสาบปากปล่องเทือกเขาโอกู ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว อยู่ทางตอนเหนือของประเทศแคเมอรูน ด้วยสภาพธรรมชาติที่ล้อมรอบด้วยหินภูเขาไฟ จึงเกิดการเก็บกักน้ำกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ และเจ้าแมกมาร้อนระอุ ที่นอนอยู่ใต้ก้นทะเลสาบนี้เอง ที่ปล่อยก๊าซพิษคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาปะปนกับน้ำ เกิดปฏิกิริยาจนเปลี่ยนเป็นกรดคาร์บอนิก

       เหตุการณ์ในวันที่ 21 สิงหาคม 1986 นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่ามีสาเหตุมาจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก หรือไม่ก็เป็น ปฏิกิริยาของภูเขาไฟที่นอนหลับไหลอยู่ใต้ทะเลสาบ จู่ๆ ก็เกิดหมอกคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลถึง 1.6 ล้านตัน ลอยคละคลุ้งปกคลุมเหนือทะเลสาบ ก่อนจะกระจายไปทั่วหมู่บ้านริมทะเลสาบและบริเวณใกล้เคียง ในรัศมี 20 กิโลเมตร ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดก็คือหมู่บ้านที่ชื่อ ชา และ สุบัม แน่นอนเหลือเกินว่าสิ่งมีชีวิตแถบนั้นย่อมต้องสูดควันพิษเข้าไป โดยไม่รู้ตัว ทำให้มีคนตายไป 1,700 ศพ กับปศุสัตว์อีกราว 3,500 ตัว ชนพื้นเมืองกว่า 4,000 ชีวิตต้องรีบอพยพเอาชีวิตรอด แต่ถึงอย่างนั้นก็มีไม่น้อยที่เกิดปัญหากับระบบหายใจ เกิดอาการเจ็บปวดภายใน และบางรายก็ถึงขั้นเป็นอัมพาตไปเลยก็มี ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพิษของก๊าซล้วนๆ

       และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หายนะแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก เมื่อปี 2001 ทางการได้ประดิษฐ์เครื่องมือถ่ายเทน้ำ เพื่อผันน้ำ ใต้ก้นทะเลสาบขึ้นมาสัมผัสอากาศด้านบนบ้าง เป็นการลดคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ให้เกิดการสะสมตัวมากจนเกินไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านก็พอจะนอนตาหลับได้บ้าง

7. น้ำท่วมจีนครั้งประวัติศาสตร์ ปี 1931

ระดับน้ำสูงสุด : 53 ฟุต (ประมาณ 16 เมตร)

พื้นที่เสียหาย : ลุ่มน้ำฮวงโห, ลุ่มน้ำแยงซี, ลุ่มน้ำฮวาย

โรคระบาด : อหิวาตกโรค และ ไข้รากสาดใหญ่

ตาย : อาจถึง 4,000,000 คน

       อันที่จริงแล้ว ทางตอนกลางของประเทศจีนแถบแม่น้ำฮวงโห (แม่น้ำเหลือง) แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำฮวายนั้น ทุกปีเมื่อถึงฤดูฝน จะมีปริมาณน้ำสูงจนเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนผู้คน สร้างความเสียหายอยู่จนเป็นเรื่องธรรมดา แต่หายนะครั้งไหนจะเลวร้ายเท่าที่ เกิดในปี 1931 ที่ทำให้จำนวนผู้คนที่ล้มตายสูง 800,000 ถึง 4,000,000 คน

       มหาวิบัติอุทกภัยในจีนเมื่อปี 1931 เกิดขึ้นในเมืองนานกิง ถือเป็นภัยธรรมชาติที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก หรืออย่างน้อย ก็มากที่สุดในศตวรรษที่ 20 ถ้าไม่นับจำนวนคนที่ตายด้วยโรคระบาด

       ย้อนกลับไปในช่วงปี 1928-1930 เกิดภาวะแห้งแล้งไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จากนั้นความวิปริตของอากาศก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ในแถบตอนกลางของจีน เริ่มด้วยฤดูหนาวที่หนาวอย่างรุนแรงในปลายปี 1930 พายุหิมะโหมกระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตา พอถึงฤดูฝน ฝนก็กระหน่ำตกแบบไม่มีทีท่าจะหยุด ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำฮวงโหเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย และที่สาหัสที่สุด เฉพาะเดือนกรกฎาคมเดือนเดียว มีพายุไซโคลนถึง 7 ลูกที่เข้ามาถล่มตอนกลางของจีนอย่างไม่ปรานี จากเดิมที่เคยมีสูงที่สุดแค่ 2 ลูกเท่านั้น

       ในส่วนของตัวเลขความสูญเสียนั้น ถ้าจะเอาให้ชัวร์ก็ต้องตามลงไปดูกันในแต่ละพื้นที่ ซึ่งหลักๆ ก็จะมีอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำฮวงโห แม่น้ำแยงซี และแม่น้ำฮวาย

       เฉพาะในลุ่มแม่น้ำฮวงโห มีพื้นที่ที่จมอยู่ใต้น้ำสมบูรณ์แบบสูงถึง 87,000 ตารางกิโลเมตร ท่วมบางส่วน 20,000 ตารางกิโลเมตร ตัวเลขการตายสูงถึง 1-2 ล้านคน และในจำนวนนี้เป็นการจมน้ำตายถึง 1 ล้านคน ในขณะที่รายงานบางฉบับระบุว่ามีคนตายสูง ถึง 4 ล้านคน และมีจำนวนผู้ไร้ที่อยู่อาศัย 80 ล้านคน

       แม่น้ำแยงซี คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 145,000 ชีวิต และมีผู้เดือดร้อน 28.5 ล้านคน ส่วนแม่น้ำฮวายนั้นสร้างความเดือดร้อนให้ ผู้คนในแบบนานกิงอย่างแสนสาหัส ระดับน้ำสูงสุดวัดได้เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่เมืองหานกู่ อยู่ที่ 53 ฟุต (เกือบ 16 เมตร) ผู้คนนับล้านล้มตาย ทั้งจากการจมน้ำและจากโรคระบาดอย่างอหิวาต์กับไข้รากสาดใหญ่ เลวร้ายไปกว่านั้น ผู้ชายเริ่มขายเมีย และลูกเพื่อแลกอาหารประทังชีวิต แถมยังฆ่าทารกเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ฟังดูเลวร้ายยิ่งกว่าในหนัง แต่มันคือความจริงล้วนๆ

6. เฮอริเคนแคทริน่า ปี 2005

มูลค่าความเสียหาย : 80,000 ล้านดอลลาร์

ตาย : 1,228 คน

 

       นี่คือพายุเฮอริเคนที่สร้างความเสียหายมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เนื่องจากพื้นที่ที่เป็นเหยื่อพายุนั้นเป็น ศูนย์การเดินเรือขนส่งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมที่สำคัญ รวมถึงเป็นฐานการผลิตและกลั่นน้ำมัน

       แคทริน่าก่อตัวขึ้นเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2005 และเมื่อเวลา 5.00 น. ของวันอาทิตย์ ที่ 29 สิงหาคม 2005 ตามเวลาภาคตะวันออกของอเมริกา ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติที่นครไมอามี รัฐฟลอริดา ได้รายงานว่า ศูนย์กลางของพายุลูกนี้อยู่ห่างจากฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของมลรัฐหลุยเซียนาเพียง 145 ก.ม. โดยเมืองนิวออร์ลีนส์ ที่อยู่เยื้องลงไปทางใต้นั้น มีแนวโน้มว่าศูนย์กลางพายุกำลังเคลื่อนตัวเข้าไปหาด้วยความเร็ว 240 ก.ม./ช.ม. ซึ่งถือเป็นเฮอริเคนที่มีความรุนแรงระดับ 4

       บนเกาะแกรนด์ไอล์ที่ชายฝั่ง สถานีตรวจอากาศที่นั่นวัดแรงลมได้ 146 ก.ม./ช.ม. ในขณะที่แรงลมในเมืองนิวออร์ลีนส์ มีความเร็วถึง 114 ก.ม./ช.ม. และเพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อยๆ พายุฝนได้โหมกระหน่ำบริเวณนั้นจนวัดปริมาณน้ำฝนได้ถึง 380 ม.ม. ประชาชนกว่า 1 ล้านคนอพยพออกออกจากเมืองเพื่อเอาชีวิตรอด

       นิวออร์ลีนส์นั้นมีน้ำล้อมรอบเกือบทั้งหมด รวมทั้งทะเลสาบพอนชาร์เทรนและแม่น้ำมิสซิสซิปปี 70% ของตัวเมืองอยู่ต่ำ กว่าระดับน้ำทะเล มีเพียงเขื่อนพิเศษที่สร้างกันน้ำท่วมไว้ไม่กี่แห่ง และเมื่อทำนบกั้นน้ำทะเลเหล่านี้ทนแรงมหาศาลของน้ำไม่ไหว มันก็ได้พังทลายลง น้ำได้ไหลทะลักเข้ามาเล่นงานบ้านเรือนจนราบเป็นหน้ากลอง ผู้คนกว่า 1 ล้านคนต้องไร้ที่อยู่อาศัยทันที ถึงขนาดต้องไปสร้างที่นอนชั่วคราวในสนามกีฬาประจำเมือง หนำซ้ำ ความช่วยเหลือที่แสนจะเชื่องช้าของรัฐบาล ยิ่งทำให้ นิวออร์ลีนส์ตกอยู่ในสภาพมิกสัญญี เกิดการปล้นสะดมเป็นวงกว้าง

       นั่นเป็นความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สิน แต่มันไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็มากมายมหาศาล ขณะที่ เฮอริเคนแคทรีน่ากำลังถล่มอ่าวเม็กซิโกซึ่งเป็นทางผ่านอยู่นั้น บรรดาบริษัทน้ำมันได้ปิดฐานขุดเจาะในทะเลไป 42% ส่วนการผลิตก๊าซธรรมชาติประจำวันก็ปิดไป 20% และโรงกลั่นแห่งชาติก็ปิดขีดความสามารถในการผลิตไป 8.5% ก่อนจะทยอยปิดอย่างสมบูรณ์แบบในเวลาต่อมาไม่นาน

       ราคาซื้อขายล่วงหน้าของน้ำมันสหรัฐตอนเปิดตลาดได้พุ่งขึ้นอีกเกือบบาร์เรลละ 5 ดอลลาร์ จนถึงระดับสูงสุดที่ 70.80 ดอลลาร์ (ใครเลยจะรู้ว่าทุกวันนี้ น้ำมันยังแพงกว่าตอนนั้นหลายขุม) การสูงขึ้นของราคาน้ำมันได้ส่งผลกระทบไปยังตลาดการเงินอื่นๆ ทำให้ราคาหุ้นและค่าเงินดอลลาร์ตกต่ำลง

...สรุปง่ายๆว่า เละตุ้มเป๊ะ...

       แม้จะล่วงเข้าเช้าวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคมแล้ว การจารจรบนถนนสายหลักของหลุยเซียน่าก็ยังคงคับคั่ง ผู้คนยังคงพยายาม อพยพไปให้ไกลที่สุดเพื่อความปลอดภัย บางคนไปไกลถึงรัฐเทกซัสซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกถึง 425 ก.ม. ระหว่างนั้น ถ้าใครจะยังพอมีอารมณ์สังเกตข้างทาง คงจะได้เห็นป้ายขนาดยักษ์ที่ใช้สีเขียนด้วยมือ ข้อความว่า

Please pray for New Orleans - โปรดสวดมนต์ให้นิวออร์ลีนส์ด้วยเถิด

5. หวัดสเปนล้างโลก ปี 1918

ความรุนแรง : หลังรับเชื้อและรู้สึกว่าเป็นหวัด ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาคุณจะตาย

ตาย : 50 ล้านคน

 

       ย้อนกลับไปเมื่อ 90 ปีก่อน โลกมนุษย์ถูกคุกคามจากการระบาดของโรคชนิดหนึ่งที่มีพิษร้ายแรงจนน่าขนหัวลุก มันคร่าชีวิตมนุษย์ไปกว่า 50 ล้านคนทั่วโลก ตัวเลขจากบางสำนักระบุว่าอาจมากถึง 100 ล้านคนด้วยซ้ำ

       ครั้งแรกที่ทำให้คนทั่วโลกรับรู้ว่ามีเชื้อโรคตัวนี้อุบัติขึ้นบนโลก ก็เมื่อมีรายงานว่า พลทหารคนหนึ่งที่ฐานเล็กๆ ในเมืองแคนซัส สหรัฐอเมริกา ป่วยเป็นไข้หวัด จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็มีรายงานจากฐานอื่นๆ ว่ามีทหารกว่า 100 นายป่วยด้วยอาการคล้ายๆ กัน จากการตรวจสอบพบว่าทหารเหล่านี้เพิ่งกลับจากไปรบที่ยุโรปในปี 1918 และเป็นไข้กลับมา การแพร่ระบาดของเจ้าเชื้อตัวนี้ จากยุโรปสู่อเมริกา ก็มีทหารเหล่านี้แหละเป็นพาหะนำโรค

       ปี 1919 ไข้หวัดตัวนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม ไข้หวัดสเปน มันระบาดไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ทวีปอาร์กติกที่อยู่ถึงขึ้วโลกเหนือ หรือดินแดนห่างไกลอย่างหมู่เกาะแปซิฟิก ทำลายชีวิตผู้คนเป็นว่าเล่น เฉพาะในอเมริกามีคนตายเพราะโรคนี้มากถึง 500,000 ราย (เฉพาะเดือนตุลาคม 1918 มีคนตายไปถึง 195,000 ราย)

       หวัดสเปนมีต้นตอมาจากเชื้อไวรัสมรณะสายพันธุ์ H1N1 ซึ่งคล้ายคลึงกับเชื้อไข้หวัดนกในปัจจุบัน มันร้ายกาจแค่ไหนน่ะเหรอ ก็แค่ว่า จากเดิมที่คุณเคยเป็นคนแข็งแรงฟิตปั๋งอยู่ดีๆ คุณก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นหวัด แล้วคุณก็จะตายหลังจากนั้นแค่ไม่กี่ชั่วโมง ...สยองมั้ยล่ะ?

       นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เนื้อเยื่อจากศพเหยื่อแช่แข็ง หวังจะก๊อปปี้เชื้อโรคมาทำการทดลอง ทว่ามันกลับทำให้เชื้อโรคแข็งแรงขึ้น และเพิ่มความรุนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ กลายเป็นข้อถกเถียงไปทั้งวงการในยุคนั้น แต่ยังไงก็เหอะ การทดลองก็ทำให้มนุษย์ได้รู้ว่า ไวรัส H1N1 มันเล่นงานมนุษย์โดยการโจมตี ไซโตคีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา นั่นก็หมายถึงจุดจบของชีวิต (หลักการคล้ายๆ กับเชื้อ HIV นั่นเอง)

       สงสัยใช่มั้ยล่ะ ว่าทำไมถึงเรียกว่าหวัดสเปน ทั้งๆ ที่มันไม่ได้มีทีท่าว่าจะเกี่ยวข้องกับประเทศสเปนเลย คืองี้...เรื่องมันมีอยู่ว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 นั่นแหละเป็นคนตั้งชื่อนี้ เหตุผลเพราะว่า เจ้าไวรัสตัวนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน อย่างท่วมท้น ครองพื้นที่บนหน้าหนังสือพิมพ์ติดต่อกันหลายวัน ในช่วงที่มันกำลังเคลื่อนตัวจากฝรั่งเศสไประบาดในประเทศสเปน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1918 และโทษฐานที่สเปนไม่ได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เลยไม่มีสิทธิ์เซ็นเซอร์สื่อระหว่างสงคราม สเปนก็เลยซวย ได้เป็นเจ้าของโรคระบาดสุดสยองไปโดยไม่ตั้งใจ

       ถ้าคุณเห็นว่าไข้หวัดนก เอดส์ หรือโรคซาส์ เป็นสิ่งที่รุนแรงที่สุดที่เคยได้ยินแล้วละก็ จงรู้ไว้เถอะว่า โลกนี้เคยผ่านอะไรแย่ๆ มาเยอะกว่าที่คุณคิด!

4. ระเบิดปริศนาที่ทังกัสก้า ปี 1908

การระเบิด : ได้ยินไกลไปถึง 800 ก.ม.

สภาพ : ต้นไม้ไหม้เป็นเถ้าถ่านตลอด 100 ตร.ก.ม.

สาเหตุ : ยังไม่มีใครรู้

 

       เวลา 07.17 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน 1908 ได้เกิดเหตุการณ์ระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นที่ผืนป่าทังกัสก้า ดินแดนที่หนาวเหน็บ ทุรกันดารสุดๆ ในเขตไซบีเรีย ประเทศสหภาพโซเวียตในขณะนั้น

       ท่ามกลางความเงียบสงัด พลันบังเกิดลูกไฟดวงใหญ่รูปทรงกรวย มีหางเป็นลำแสงยาวเหมือนดาวหาง เคลื่อนที่มาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความเร็ว 42 ก.ม./วินาที แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนทิศกะทันหัน มุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแทน ตอนแรกเคลื่อนที่อยู่บนความสูง ประมาณ 80 ก.ม.เหนือพื้นโลก แต่แล้วก็เปลี่ยนระดับลงมาที่ 10 ก.ม. ทันใดนั้นมันก็ชะลอความเร็วจนเหลือ 1 ก.ม./วินาที แล้วเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ได้ยินในรัศมี 800 ก.ม.

       แสงไฟลุกโชนขึ้นจนสว่างไปทั่วท้องฟ้า พร้อมควันรูปดอกเห็ดสูงถึง 80 ก.ม. บ้านเรือนผู้คนที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบ ก.ม. ได้รับแรงสั่นสะเทือนจนบางหลังพลังเสียหายยับเยิน เกิดคลื่นสั่นสะเทือนไปรอบโลกถึง 2 ครั้ง เข็มวัดแผ่นดินไหวของสถานี ตรวจวัดทั่วโลกตีกลับไปมา หลังจากนั้นและคืนต่อๆ มาอีกหลายคืน แสงไฟจากการลุกไหม้ก็ยังคงส่องสว่างข้ามทวีป ถึงขนาดคน ในลอนดอนสามารถอ่านหนังสือกลางคืนได้โดยไม่ต้องเปิดไฟ ช่างภาพในกรุงสต็อกโฮล์มถ่ายภาพกลางคืนได้โดยไม่ต้องจัดไฟ หรือใช้แฟลช

       ลูกไฟดังกล่าวเผาผลาญต้นไม้ในป่าทังกัสก้าไปนับล้านต้น กินพื้นที่กว่า 100 ตร.ก.ม.จากเหนือไปใต้ และอีกกว่า 40 ตร.ก.ม. จากตะวันออกไปตะวันตก นักวิชาการคำนวณกันว่า สิ่งที่จะสร้างความเสียหายขนาดนี้ได้คงต้องมีมวลประมาณ 3-10 ล้านตันเป็นอย่างน้อย ป่าทังกัสก้ามันกว้างมาก มีอาณาบริเวณถึง 750,000 ตร.ก.ม. แถมรกทึบสุดชีวิต เหตุนี้ทางรัฐบาลโซเวียตจึงเข้าใจว่าเป็นแค่ ปรากฏการณ์อุกกาบาตชนโลกธรรมดาๆ ไม่ได้ส่งทีมสำรวจลงพื้นที่แต่อย่างใด ล่วงเลยมาจนกระทั่งปี 1921 ศาสตราจารย์คูลิค จึงนำทีมนักสำรวจมุ่งหน้าไปยังจุดเกิดเหตุ ผ่านทุ่งหิมะอันหนาวเหน็บ ธารน้ำแข็งเชี่ยวกราก และความยากลำบากนานา แล้วสิ่งที่ได้พบเบื้องหน้าก็ทำให้ทั้งคณะถึงกับตกตะลึง

       ต้นไม้ในป่านับล้านถูกเผาเกรียมเป็นเถ่าถ่าน บ้างก็ยืนต้นตรง บ้างก็ล้มทับกันระเนระนาดเป็นทางยาวสุดลูกตา แต่ที่แปลกคือไม่ยักกะมี หลุมหรือก้อนอุกกาบาตขนาดยักษ์แบบที่คาดกันไว้ ทีมสำรวจพลิกแผ่นดินหายังไงก็ไม่เจอ ถัดจากนั้นก็ได้มีทีมสำรวจเข้าไปพยายาม สืบเสาะกันอีกหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 1908-1969 นักวิทยาศาสตร์เองก็พยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วสรุปออกมาถึง 77 ทฤษฎี บ้างก็ว่าเป็นการระเบิดของดาวหาง, การระเบิดของอุกกาบาตก่อนตกถึงพื้นโลก ฯลฯ แต่ก็ยังไม่มีเค้าของหลักฐานที่จะยืนยันความ ถูกต้องของทฤษฎีเลย

       อเล็กซานเดอร์ คาซานต์เซฟ นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ชี้ให้วงการวิทยาศาสตร์มองความสัมพันธ์ของการระเบิดที่ทังกัสก้า กับระเบิด ปรมาณูที่ฮิโรชิม่า โดยเฉพาะสภาพต้นไม้ที่ร้อนจนไหม้เกรียม แต่ยังยืนต้นได้ในบริเวณศูนย์กลางของระเบิด แต่บริเวณที่ห่างออกไป ต้นไม้กลับล้มระเนระนาดเพราะแรงระเบิด คลื่นความร้อนราว 5,000 เซลเซียส และกัมมันตภาพรังสี ฝนสีดำที่ตกลงมาหลังการระเบิด มันเหมือนกับสิ่งที่เกิดในฮิโรชิม่าไม่มีผิดเพี้ยน เขาสรุปว่ามันคือระเบิดปรมาณูอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อาจจะเป็นระเบิดที่มาจากนอกโลก เพราะในวันเกิดเหตุนั้น ยังไม่มีชาติไหนในโลกที่คิดค้นระเบิดปรมาณูได้

       นักวิทยาศาสตร์บางคนระบุว่า มันอาจจะมาจากหลุมดำขนาดจิ๋วที่บังเอิญโคจรผ่านโลกแล้วพุ่งเข้าชนพอดี ซึ่งจะทำให้เกิดแรงระเบิด แล้วหลุมดำก็ทะลุไปอีกซีกหนึ่งของโลก หรือไม่ก็ผ่าน Hyper Space แบบที่เรียกกันว่า warp คือหายแว้บไปเลย ไม่ทิ้งร่องรอย อะไรไว้ให้เป็นหลักฐาน

       คริสโตเฟอร์ ชีบา จากองค์การนาซ่าได้ทดลองทำซิมูเลเตอร์จำลองการระเบิดที่ทังกัสก้า ด้วยทฤษฎีที่ว่ามันถูกดาวเคราะห์น้อยพุ่งชน การทดลองได้ผลออกมาเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมาก แต่ปัญหาคือมันไม่สามารถอธิบายเรื่องกัมตภาพรังสี ปฏิกิริยานิวเคลียร์ และการเปลี่ยนทิศทางของวัตถุกลางอากาศ...เป็นอันว่าตกไป

       จนถึงทุกวันนี้ การระเบิดปริศนาที่ทังกัสก้า ก็ยังคงเป็นความลับให้ค้นหาและถกเถียงกันอยู่ต่อไปว่า มันเกิดจากอุกกาบาต ดาวเคราะห์น้อย ระเบิดปรมาณู หลุมดำ หรืออะไรกันแน่? แต่ขณะนี้ก็มีคนอีกกลุ่มออกมาอธิบายว่า...อาจจะเป็นเพราะ UFO ก็ได้!

3. ภูเขาไฟวิสุเวียสถล่มนครปอมเปอี

พิกัด : นครปอมเปอี (ใกล้เมืองเนเปิลส์ในปัจจุบัน) แคว้นกัมปาเนีย ประเทศอิตาลี

ความรุนแรง : ทั้งเมืองจมอยู่ใต้ลาวาและฝุ่นเถ้า

 

       นครปอมเปอี เป็นเมืองที่รุ่งเรืองในสมัยโรมัน ก่อตั้งขึ้นเมื่อราว 550 ปีก่อนคริสตกาล เป็นแหล่งผลิตสินค้าหรูหราฟุ่มเฟือย ของชาวเมืองในยุคนั้น แต่แล้วในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 เวลาบ่ายโมงครึ่ง ภูเขาไฟวิสุเวียสที่อยู่ติดกับเมืองได้เกิดปะทุขึ้น พ่นฝุ่นควันและก๊าซพิษจำนวนมหาศาลเข้าใส่ปอมเปอีและสตาเปียซึ่งเป็นเมืองใกล้เคียง เพียงไม่กี่นาทีท้องฟ้าเหนือเมือง ก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นเถ้าจนแสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องผ่านลงมาได้ ชาวเมืองบางส่วนต้องตายลงเพราะสูดก๊าซพิษ บางส่วน ถูกหินหล่นใส่จนหมดสติล้มลง บางคนที่หลบอยู่ในบ้านก็ถูกหลังคาหล่นลงมาทับตาบเพราะรับน้ำหนักฝุ่นเถ้าและก้อนหินไม่ไหว ผู้คนถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในบ้านตัวเอง ในขณะที่บางส่วนล่องเรือหนีออกไปได้ทัน

       วิสุเวียสยังคงพิโรธต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 27 สิงหาคม 79 จึงได้สงบลง แต่ปอมเปอีทั้งเมืองก็ได้กลายเป็นนครใต้ซากลาวา และฝุ่นเถ้าภูเขาไฟไปตลอดกาลแล้ว ต่อมาในปี 1534 และ 1748 มีการขุดค้นพบเมืองแห่งนี้ซึ่งอยู่ใต้พื้นดินลงไป 4-6 เมตร แต่กว่าจะได้เปิดเป็นเมืองท่องเที่ยวก็ต้องรอจนถึงปี 1961

       ปัจจุบัน นครปอมเปอีถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก กลายเป็นหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี มีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละประมาณ 2.5 ล้านคน ถ้าคุณไปที่นั่น คุณจะได้เห็นซากร่างกายมนุษย์ที่ยังอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ แต่ถูกเคลือบด้วยหินลาวาและเถ้าถ่าน

2. ทอร์นาโดถล่มอเมริกา ปี 1925

ระยะเวลา : 210 นาที

ตาย : 695 ศพ

มูลค่าความเสียหาย : 1,400 ล้านดอลลาร์

พื้นที่เสียหาย : มิสซูรี่, อิลลินอยส์, อินเดียน่า, เคนตักกี้, เทนเนสซี่, อลาบาม่า, แคนซัส

 

       Tri-State Tornado คือชื่ออย่างเป็นทางการของพายุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 1925 มันคือทอร์นาโดที่โหดเหี้ยม ที่สุดในประวัติศาสตร์ บุกเดี่ยวเพียงลำพัง กวาดพื้นที่ 3 รัฐ อินเดียน่า, เคนตักกี้, เทนเนสซี่ จนราบเป็นหน้ากลอง และเสียหายบางส่วนในอีก 4 รัฐที่เหลือ

       การเดินทางของมันเริ่มต้นทางตอนใตเของรัฐมิสซูรี่ ก่อนจะบุกไปถึงอิลลินอยส์ และไปจบที่อินเดียน่า นอกจากจะทำให้ ประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว การเดินตะลุยบุกทำลายเป็นระยะทางถึง 352 กิโลเมตรของมัน ทำให้กลายเป็นทอร์นาโดที่ทำระยะทางได้ไกลที่สุดในโลก ด้วยความรุนแรงระดับ F5 ตามมาตราวัดฟูจิตะ

       ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 695 ศพ บาดเจ็บ 2,027 คน ตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงครึ่งที่มันบุกตะลุยพื้นที่ ได้สร้างความบอบช้ำ อย่างแสนสาหัสให้ประชาชน บ้านเรือนกว่า 15,000 หลังกลายเป็นอดีตไปในพริบตา โรงเรียนพังเสียหายสมบูรณ์แบบไป 9 โรง เด็กนักเรียนตายไป 69 คน ถือว่าเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในอเมริกา

1. แผ่นดินไหว & สึนามิที่ญี่ปุ่น ปี 2011

แรงสั่นสะเทือน : 9.0

สึนามิ : 40.5 เมตร

 

       11 มีนาคม 2011 เวลา 14.46 น. ตามเวลามาตรฐานญี่ปุ่น (05:46 UTC) เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 ลึกลงไปใต้พื้นดิน 32 กิโลเมตร นอกชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรโอชิกะ โทโฮะกุ ประเทศญี่ปุ่น ก่อคลื่นสึนามิทำลายล้างสูงถึง 40.5 เมตร ในมิยาโกะ อิวาเตะ โทโฮะกุ บางพื้นที่คลื่นพัดลึกเข้าไปในแผ่นดินไกลถึง 14 กิโลเมตร นับเป็นหนึ่งใน 5 แผ่นดินไหว ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น สร้างความเสียดายต่อชีวิตและทรัพย์สินชาวญี่ปุ่นจนไม่สามารถประเมินค่าที่แท้จริงได้ ที่ร้ายแรงอีกอย่างคือ แผ่นดินไหวได้ส่งผลให้เตาปฏิกรณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ที่เกิดการหลอมละลายระดับ 7 และเกิดปัญหาเรื่องการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีตามมา

 

       แผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงจนทำให้เกาะฮอนชูขยับตัวไปทางตะวันออก 2.4 เมตร พร้อมกับเคลื่อนแกนหมุนของโลก ไปเกือบ 10 เซนติเมตร แต่อย่างไรก็ตาม นานาชาติโดยเฉพาะประเทศไทยได้ส่งความช่วยเหลือทุกอย่างแก่ญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว ทั้งภาครัฐและเอกชน จนทางการญี่ปุ่นต้องออกมากล่าวขอบคุณ และยกให้ประเทศของเราเป็น “มิตรแท้ในยามยาก”

       และทั้งหมดนั้นก็คือสุดยอดมหันตภัยที่สร้างความเสียหายให้กับชาวโลกอย่างแสนสาหัส เราเองก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าได้เกิดเรื่องร้ายแรงแบบนี้ในระยะเวลาอันใกล้อีกเลย

 

ที่มา:http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=95068.0

Credit: http://board.postjung.com/927475.html
16 พ.ย. 58 เวลา 09:30 2,859 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...