ตำนาน “มนุษย์กินคน” สุดสยอง แห่งเกาะปาปัวนิวกินี
เปิดเผยตำนาน เผ่ากินคนสุดสยองและเรื่องราวของมนุษย์กินคน ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก ณ ดินแดนแห่งเกาะอันเร้นลับที่มีชื่อว่า “ปาปัวนิวกินี” ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดมีอยู่ว่า..ในยุคแรกเริ่มที่โลกของเรายังไม่มีการพัฒนา มนุษยชาติต่างอยู่กระจัดกระจายหลายเผ่าพันธุ์ มีวัฒนธรรม ภาษา และการดำรงชีวิตที่แตกต่างกัน และสัญชาติญาณในการอยู่รอดในช่วงวิกฤตในยามที่ขาดแคลนซึ่งอาหาร
มนุษย์บางพวกถึงกับนำเลือดเนื้อของมนุษย์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันมาปรุงและกินเป็นอาหาร มนุษย์กินคน คือมนุษย์ที่กลืนกินเลือดเนื้อของมนุษย์ ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน และชนเผ่ามนุษย์กินคนที่ได้รับการกล่าวขาน เป็นตำนานอันน่าสยดสยอง ชวนขนหัวลุกมากที่สุด ก็คือ “มนุษย์กินคน” แห่งเกาะปาปัวนิวกินี
">
ปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea) ในปัจจุบัน มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ตั้งอยู่ ณ บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย และอยู่ทางตะวันตกของหมู่เกาะโซโลมอน เป็นเกาะที่สูงที่สุดในโลก และยังถือว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในแปซิฟิก มีพื้นที่โดยรวมเกือบเท่าประเทศไทยของเรา มีประชากรทั้งประเทศเพียงแค่ 5.8 ล้านคนเท่านั้น มีประชากรที่มากมายหลายชนเผ่า มีภาษาใช้ที่มากกว่า 800 ภาษา และยังมีประเพณีที่แตกต่างกันในแต่ละชนเผ่าถึง 200 ประเพณีเลยทีเดียว
หากย้อนไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ณ ดินแดนแห่งนี้ ได้เป็นที่กล่าวขานถึงเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก จากการดำรงชีวิตของชนเผ่าดั้งเดิม ด้วยการนำเลือดเนื้อของมนุษย์ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันมากินเป็นอาหาร อย่างน่าสยดสยอง
ตามตำนานได้เล่าขานกันมาว่า เมื่อแรกเริ่มในยุคของการบุกเบิก ณ เกาะปาปัวนิวกินีแห่งนี้ ได้มีนักผจญภัยชาวอเมริกาใต้ เดินทางมาถึงเกาะแห่งนี้ และได้ตั้งหลักปักฐานอาศัยอยู่บริเวณชายทะเลก่อน เพราะเห็นว่ามีอาหารอุดมสมบูรณ์ดี แต่ก็ต้องล้มตายเป็นจำนวนมากเพราะไข้มาลาเรีย เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งชุกชุมของยุงจำนวนมาก ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องพากันอพยพเข้าไปในใจกลางของเกาะซึ่งเป็นเทือกเขาสูง ซึ่งมีอากาศที่หนาวเย็นกว่า เพื่อหลีกหนีแหล่งชุกชุมของยุงนั่นเอง แต่พวกเขาก็ต้องพบกับความลำบาก ในเรื่องของเสบียงอาหารที่หายาก เพราะมีสัตว์เพียงไม่กี่ชนิดที่ทนอยู่ในสภาพอากาศแบบนี้ได้ นานวันเข้า พวกเขาก็เริ่มขาดแคลนเสบียงอาหารในการดำรงชีวิต และสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดก็ถูกกระตุ้นขึ้น นานวันเข้า เมื่อท้องเริ่มหิว ไม่มีอาหารที่พอจะประทังชีวิตให้ดำเนินไปได้ พวกเขาจึงหันมากินเนื้อของมนุษย์เผ่าเดียวกัน เพื่อความอยู่รอด และนักผจญภัยที่กล่าวถึงในที่นี้ก็คือชาวปาปัวนิวกินีในปัจจุบันนั่นเอง และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันของชนเผ่าปาปัวนิวกินี และหลังจากนั้นก็ยังมีตำนานเล่าขานกันต่อมาอีกว่า เมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 19 เหล่าคณะนักบวชแห่งศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นสุภาพสตรีล้วน เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์อันแน่วแน่ ได้มีแนวคิดที่จะนำศาสนาคริสต์มาเผยแผ่ ณ ดินแดนอันเร้นลับแห่งนี้ และก็ได้ตัดสินใจเดินทางมายังเกาะแห่งนี้ พร้อมด้วยบอดี้การ์ด ที่มีอาวุธปืนที่ทันสมัยครบมือในสมัยนั้น
เมื่อย่างก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเกาะปาปัวนิวกินี เหล่าคณะนักบวชได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านของชนเผ่า ด้วยจุดประสงค์เพื่อที่จะเผยแผ่ศาสนาคริสต์ตามความตั้งใจ แต่เมื่อก้าวย่างเข้าเขตพื้นที่ของหมู่บ้านชนเผ่า กลับถูกสกัดกั้นจากชนเผ่าดังกล่าว เพราะชนเผ่าถือว่าเป็นการบุกรุกโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ถึงอย่างไรคณะนักบวชแห่งศาสนาคริสต์ก็ยังคงดื้อรั้นและเดินหน้าต่อไป และนั่นกลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปทุกที เพราะการบุกรุกในครั้งนั้นทำให้ชนเผ่าในฐานะเจ้าบ้านเกิดความไม่พอใจอย่างมาก และได้ทำการจู่โจมด้วยอาวุธต่างๆ เช่น มีด หอก หลาว และหน้าไม้ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทางฝ่ายบอดี้การ์ดของคณะนักบวชเอง ก็ได้ตอบโต้ด้วยอาวุธที่ทันสมัยกว่า ทำให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้น ณ เกาะแห่งนี้ เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายต้องบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก การต่อสู้ดำเนินไปจนถึงที่สุด ด้วยความชำนาญการในการใช้อาวุธและเจนจัดในพื้นที่มากกว่า ทำให้เหล่าบอร์ดี้การ์ดของคณะนักบวชที่มีอาวุธที่ทันสมัยกว่าถึงกลับพ่ายแพ้ และได้ยอมจำนนแต่โดยดี และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแห่งชัยชนะในศึกครานี้ พวกชนเผ่าก็ได้เตรียมน้ำใส่หม้อดินขนาดใหญ่ ต้มให้เดือดพล่าน จากนั้นก็จะนำศพของผู้ที่เสียชีวิตมาหั่นเป็นท่อนให้มีขนาดพอดี ใส่ลงในหม้อที่กำลังเดือด ตามด้วยผักนานาชนิด รวมทั้งเผือกและมันที่พวกเขาหาได้ พอเนื้อมนุษย์เริ่มสุกและเปื่อยดีแล้ว ก็ตักออกมากินกันอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนเชลยที่ยังมีชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บก็จะถูกมัดไว้ เพื่อฆ่าและนำมาปรุงเป็นอาหารอันโอชะในค่ำคืนต่อไป
และยังมีตำนานเล่าขานถึงเมนูมนุษย์สุดสยองของชนเผ่าปาปัวนิวกินีอีกว่า ในยามที่มีใครเกิดล้มตายขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคนต่างเผ่าหรือญาติของตน ศพของพวกเขาจะไม่ถูกนำไปฝังหรือเผาอย่างเด็ดขาด หากแต่จะนำศพไปไว้บนตะแกรงที่ยกพื้นสูงขนาดท่วมหัว และปล่อยให้ศพอยู่บนตะแกรงในสภาพนั้นจนขึ้นอืด เกิดน้ำเหลืองไหลเยิ้มไปทั่วทั้งตัว จากนั้นชนเผ่าก็จะพากันเข้าป่าเพื่อหาใบไม้ที่เป็นเครื่องเทศ นำมาพับเป็นกระทงเล็กๆ ขนาดพอดีคำ จากนั้นก็จะพากันเชิญชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงให้มารวมกันอยู่ใต้ตะแกรงศพที่ขึ้นอืดมีน้ำเหลืองและน้ำหนองไหลเยิ้ม ที่จัดเตรียมไว้ แล้วใช้ไม้ปลายแหลมแทงเข้าไปที่ร่างศพให้เป็นรู เพื่อให้น้ำเหลืองไหลเยิ้มผ่านไม้ออกมา จากนั้นก็จะนำกระทงใบไม้ที่พับเตรียมไว้ รองรับน้ำเหลืองที่ไหลออกมาจากศพ พอน้ำเหลืองเริ่มเต็มกระทงใบไม้ ก็ซดเข้าปากดื่มและเคี้ยวกินทั้งใบไม้และน้ำเหลืองอย่างเอร็ดอร่อย พอน้ำเหลืองของศพเริ่มแห้ง พวกเขาก็นำศพที่ขึ้นอืดดังกล่าว ไปต้มซุปกับผักต่างๆ กัดกินเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย
เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้ครับ เพราะยังมีอีกหนึ่งชนเผ่าที่มีวิธีการกินเนื้อมนุษย์ที่หฤโหด นั่นก็คือ ชนเผ่าโดโบดูรัส เป็นอีกหนึ่งชนเผ่าที่มีวิธีการกินเนื้อมนุษย์ที่สุดโหดวิธีการของพวกเขาก็คือ ชนเผ่าโดโบดูรัสจะจับมนุษย์หรือเหยื่อที่ล่ามาได้ มากินแบบเป็นๆ นั่นก็คือการทรมานเหยื่อจวนตายแต่ไม่ให้ถึงตาย จากนั้นก็เจาะกะโหลกให้เป็นรู แล้วนำไม้ที่มีปลายแบบหางช้อน สอดเข้าไปตักเอาสมองออกมากิน ทำให้เหยื่อดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดทรมาน จนเสียชีวิตในที่สุด จากนั้นก็จะนำศพมาปรุงเป็นอาหารอันโอชะต่อไป
ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเหตุการณ์หรือตำนานที่เกิดขึ้นในสมัยอดีตของชนเผ่าปาปัวนิวกินีที่ผ่านมา แต่ในปัจจุบันประเทศปาปัวนิวกินีได้ถูกพัฒนาขึ้น และทางรัฐบาลแห่งปาปัวนิวกินีก็ได้มีการออกกฎหมายว่าด้วยเรื่อง “ห้ามกินเนื้อมนุษย์อย่างเด็ดขาด” ทำให้เรื่องราวของการกินเนื้อมนุษย์ดังกล่าว ได้กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันมาจนกระทั่งปัจจุบัน
** เป็นตำนานที่เล่าขานกันมา โดยส่วนตัวของ จขกท. บังเอิญดันไปชอบเรื่องแปลกๆแบบนี้ ก็เลยนำมาบอกเล่าสู่กันฟังครับ**
ที่มา: https://www.youtube.com/c/SivakornPookanha