การดมกลิ่นนั้นเป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะกลิ่นนั้นสามารถกระตุ้นสมองของเราได้ ทั้งในด้านความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ จึงมีนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับเรื่องกลิ่น และนี่คือการทดลองเกี่ยวกับกลิ่นที่ทั้งแปลกและพิลึกสุดๆ เท่าที่เคยมีมา ถ้าอยากรู้ว่าเขาทดลองอย่างไรบ้างก็ลองมาดูกัน
1. กลิ่นหญ้า
มีหลายคนที่ชอบสูดกลิ่นหญ้าที่ตัดเพิ่งเสร็จใหม่ ๆ เพราะทำให้สดชื่น จากการวิจัยพบว่ากลิ่นสนามหญ้านั้นส่งผลต่อการทำงานของสมอง ช่วยให้ผ่อนคลาย และมีความสุขได้จริง อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงโรคสมองเสื่อมในวัยชราได้ด้วย ด้วยเหตุนี้ นิค ลาวิดิส (Nick Lavidis) นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย จึงคิดค้นน้ำหอมที่มีกลิ่นคล้ายกับหญ้าที่เพิ่งตัดเสร็จใหม่ๆ ขึ้นมา โดยได้แรงบันดาลใจจากการไปเที่ยวอเมริกาเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเขาบอกว่าการที่เขาได้สูดกลื่นหญ้าตัดใหม่แค่ 3 วัน ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พักผ่อนถึง 3 เดือนเลยทีเดียว
ระวังเอาไว้ กลิ่นรักแร้มีผลต่อการเลือกคู่ด้วยนะ!
2. กลิ่นกาย
ในปี 1955 เคลาส์ เวเดคินต์ (Claus Wedekind) นักชีววิทยาชาวสวิส ได้วิจัยเรื่องกลิ่นรักแร้ซึ่งมีผลต่อการเลือกคู่ โดยการให้อาสาสมัครชาย 44 คน สวมเสื้อยืดไว้เป็นเวลา 2 คืน และระหว่างนั้นต้องใช้สบู่ไร้กลิ่น รวมถึงโลชั่นโกนหนวดที่เขาเตรียมไว้เท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็นำเสื่อที่ใส่แล้วไปแยกไว้ในกล่องเปล่า และให้อาสาสมัครหญิง 49 คนมาสูดดม ผลปรากฎว่าทันทีที่พวกเธอสูดดมกลิ่นชายที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายคล้ายคลึงกับตัวเอง ทำให้พวกเธอนึกถึง พ่อ พี่ชาย หรือน้องชาย แต่สำหรับกลิ่นชายที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่แตกต่างจากเธอ กลับทำให้เธอรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งเคลาส์อธิบายว่า โดยธรรมชาติแล้วคนเราจะเลือกคู่ครองที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างจากตัวเองนั่นเอง
3. กลิ่นความขาว
โดยปกติแล้วเราจะสามารถมองเห็นแสงสีขาว หรือสีที่สมองประมวลไม่ได้ว่าคือสีอะไร และยังได้ยินเสียงสีขาว หรือเสียงที่ไม่สามารถประมวลผลได้ว่าเป็นเสียงอะไรเช่นกัน ล่าสุดสถาบันวิทยาศาสตร์ไวซ์มันน์ ในประเทศอิสราเอล ทดลองผลิตกลิ่นสีขาวขึ้นมา โดยผสมสารที่ทำให้เกิดกลิ่นที่แตกต่างกันถึง 30 กลิ่น ก่อนตั้งชื่อที่ไม่มีความหมายใดๆ ให้ว่าโลรักซ์ (Laurax) แล้วให้อาสาสมัครมาทดลองดมกลิ่น ผลการทดลองคือ คนส่วนใหญ่แล้วตอบเหมือนกันว่ากลิ่นความขาวนั้นไม่เชิงว่าหอมหรือเหม็น แต่พวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นกลิ่นอะไรแน่ จากงานวิจัยนี้จึงชี้ให้เห็นได้ว่ากลิ่นความขาวนั้นมีอยู่จริงๆ ด้วย
ยุงมีปฏิกิริยาตอบสนองมากเป็นพิเศษกับกลิ่นบางอย่าง
4. กลิ่นล่อยุง
เมื่อปี 2011 เฟรดรอส โอกูมู (Fredros Okumu) ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันสุขภาพอิฟาการา ประเทศแทนซาเนีย เคยทดลองเกี่ยวกับกลิ่นที่ทำให้ถูกยุงที่มีเชื้อมาลาเรียกัด โดยติดตามศึกษายุงที่บินเข้าบ้าน 2 หลัง หลังหนึ่งมีคนนอนอยู่ในนั้น ส่วนอีกหลังนำถุงเท้าสกปรกไปกองไว้แทน ผลปรากฎว่าบ้านที่มีถุงเท้าสกปรกมียุงมากกว่าถึง 4 เท่า เพราะยุงที่มีเชื้อมาลาเรียจะมีปฏิกิริยาตอบสนองมากเป็นพิเศษกับเชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในถุงเท้า และเมื่อยุงได้กลิ่นนั้นก็จะตามไปกัดต้นตอของกลิ่นทันที หลังจากนั้นก็ตายตามธรรมชาติ ดังนั้นการนำถึงเท้าสกปรกมาล่อให้ยุงติดกับจนตาย จึงเป็นอีกวิธีที่ช่วยทำลายเชื่อมาลาเรียก่อนแพร่สู่คนได้
5. กลิ่นผายลม
เป็นสิ่งไม่น่าเชื่อจริงๆ เพราะจากผลการทดลองของมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ในประเทศอังกฤษ พบว่าการสูดดมกลิ่นผายลมหรือกลิ่นก๊าซไข่เน่าเพียงน้อยนิดอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ ทางด้าน มาร์ค วู้ด นักเคมีชีวภาพ ผู้ที่ทำการวิจัยบอกว่า ก๊าซไฮโตรเจนซัลไฟต์ ซึ่งเกิดจากกระบวนการย่อยอาหารของแบคทีเรียนั้น แม้จะมีกลิ่นเหม็นรุนแรงเหมือนไข่เน่า แต่ถ้าได้สูดดมเข้าไปจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยบำบัดได้หลายโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไขข้อ โรคหลอดเลือดในสมองตีบ หรือโรคสมองเสื่อมได้ แต่แนะนำว่าถ้าจะรักษาโรคเหล่านี้ ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ดีกว่านี้นะ
">
แปลกดีใช่ไหมล่ะ ไม่คิดว่าจะมีการทดลองอะไรแปลกๆ แบบนี้เหมือนกัน ส่วนถ้าใครอยากจะลองทดสอบกลิ่นดูบ้างล่ะก็ อย่าไปสุ่มสี่สุ่มห้าดมแบบมั่วซั่วนะ ถ้าเกิดสูญเสียการดมกลิ่นขึ้นมาแล้วจะหาว่าไม่เตือน
ที่มา: https://www.askhanuman.co.th/articles/การทดลอง-กลิ่น/