http://www.bigza.com/news-177796
ตำนานเรื่องสยองขวัญที่เกิดขึ้นในเอเชีย
แม้ตำนานเมืองแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน แต่ทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องสยองขวัญ และมีชื่อเสียงในประเทศนั้นๆ และต่อไปนี่คือ 10 ตำนานเมืองน่าขนลุกที่มีชื่อเสียงของเอเชีย
สาวงามแห่งสะพานอัลคอน (The Sweet Girl of Ancol Bridge)-อินโดนีเซีย
ที่สะพานอัลคอน จาร์กาต้า ประเทศอินโดนีเซีย มีตำนานผีสาวหลอกหลอน ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเธอเป็นตัวการอยู่เบื้องหลังทำให้เกิดอุบัติเหตุจราจรในพื้นที่บริเวณนั้น
ในตำนานได้กล่าวถึงผีสาวคนนี้อย่างน่าเศร้าว่า ช่วงต้นปี 1800 มีเรื่องเล่ากันว่า มัรยัม เป็นสาวใช้ของพ่อค้าชราที่ร่ำรวย เมื่อเธออายุ 16 ความงามของเธอได้ทำให้พ่อค้าหลงรัก และอยากให้เธอเป็นเมียน้อยของเขา แต่เธอไม่ได้รักพ่อค้า เธอเลยตัดสินใจที่ออกจากบ้านแทน
ในขณะที่มัธยัมออกเดินทางเพื่อหาที่อยู่ใหม่ ก็มีอันธพาลคนหนึ่งเห็นความงามของเธอจึงเกิดลุ่มหลง และขอเธอเป็นแฟน แต่เธอปฏิเสธ และด้วยความโกรธเขากับพวก จึงข่มขืนและฆ่าเธอ นำร่างของเธอไปทิ้งในนาข้าว ในบริเวณใกล้เคียงกับสะพานอัลคอนในปัจจุบัน
และหลังจากนั้นเป็นต้นมาหญิงสาวแห่งสะพานอัลคอนจึงมีความแค้น และได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุการจราจร โดยเฉพาะผู้ขับขี่ที่เป็นผู้ชาย
เครื่องสำอาง (Cosmetic Sesame)—เกาหลีใต้
ที่เกาหลีใต้มีเรื่องเล่ากันว่า มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งค่อนข้างห่วงรูปลักษณ์ของเธอมาก อีกทั้งยังมีความมุ่งมั่นหาเคล็ดลับความงามตลอดเวลา จนวันหนึ่งเธอได้ยินวิธีการรักษาความงามแบบใหม่ จากคนใกล้ชิดว่าหากผสมงาในน้ำแล้วลงไปแช่สองสามชั่วโมงจะทำให้ผิวมันเรียบและอ่อนนุ่ม
หญิงสาวคนได้ได้ยินก็รีบกลับบ้านแล้วทำทันที โดยลงไปแช่ในอ่างอาบน้ำผสมน้ำมันงา หากแต่เธอลงแช่นานหลายชั่วโมง ไม่ยอมออกจากห้องน้ำ จนแม่ของเธอเริ่มรู้สึกกังวล แต่เวลาที่แม่ของเธอถ่ามลูกของเธอ ก็มักได้ตอบกลับว่า รอสักครู่
ในที่สุดแม่ทนไม่ไหว จึงบีบให้ลูกสาวตนเองเปิดประตูห้องน้ำ หากแต่เมื่อห้องเปิดออก เธอก็ตกใจในสิ่งที่เห็น ลูกสาวของเธออยู่ในสภาพที่น่าขนหัวลุก เมล็ดงาจำนวนมากได้แทรกเข้าไปในระหว่างรูขมขน ผิวหนังไปทั่วร่างกายของเธอ ผลคือผู้หญิงคนนั้นได้กลายเป็นบ้าและใช้ชีวิตนั่งอยู่ในมุมห้องพยายามเอาเมล็ดงาออกด้วยไม้จิ้มฟัน
มีอะไรอยู่ในน้ำเกรวี่สะเต๊ะ (What’s In That Satay Gravy) สิงค์โปร์
สิงค์โปร์อาจเป็นประเทศเล็กๆ แต่มันก็มีตำนานเมืองที่น่าสนใจอยู่เยอะเช่นกัน หนึ่งในตำนานเมืองที่ดังก็คือ”มีอะไรอยู่ในน้ำเกรวี่สะเต๊ะ”รวมอยู่ด้วย
เรื่องของเรื่องของสะเต๊ะเป็นอาหารที่ชาวสิงค์โปร์ชื่นชอบมาก และถ้าสถานที่ในตำนานที่พวกเขาต้องนึกถึงอยากทานสะเต๊ะก็คือคลับเก่าเอสพลานาด ที่นั้นเต็มไปด้วยแผงลอยสะเต๊ะหลายแบบถนนริมชายหาดหลายแบบให้เลือกชิม ซึ่งเป็นที่นิยมของนักชิมนยามคำคืนในปี 1970 และ 1980 แต่อย่างไรก็ตาม มีข่าวเล่าลือว่าแผงลอยสะเต๊ะบางเจ้าอยากให้ลูกค้าติดใจกลับมาเป็นลูกค้าของตนเอง พวกเขาเลยใส่ส่วนผสมพิเศษลงในน้ำเกรวี่ ว่ากันเป็นพิธีกรรมมนต์ดำ นั้นคือใส่”ชุดชั้นในที่ใส่แล้ว”และ ”ผ้าอนามัย”ที่ใช้แล้วไป ทำให้สะเต๊ะมีรสชาติดีกว่าที่อื่นๆ
ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริงก็ตาม หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พบว่าแผงลอยหลายร้านไม่ถูกสุขอนามัน ในที่สุดก็หยุดปิดกิจการ และให้ย้ายไปขายที่อื่นแทน ทุกวันนี้สะเต๊ะยังคงเป็นอาหารที่ชื่นชอบของชาวสิงค์โปร์ และส่วนผสมเกรวี่พิเศษยังคงลึกลับ
ทางหลวงคารัค (Karak Highway)มาเลเซีย
ทางหลวงคารัค เป็นถนนทางภาคใต้ของรัฐปะหัง ของประเทศมาเลเซีย ถูกสร้างขึ้นในปี 1970 เพื่อตัดผ่านภูเขาติติวังซา เชื่อต่อทางทิศตะวันตกและตะวันออกของประเทศ และเป็นทางหลวงที่เกิดอุบัติเหตุน่ากลัวนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นตำนานเมืองว่าเป็นพื้นที่น่ากลัวสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์โดยเฉพาะรถยนต์
เล่ากันว่าทางหลวงถูกสร้างขึ้นทับสุสานเก่าแก่ หรือที่ดินที่ถูกผีสิง จนเป็นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง พร้อมกับประสบการณ์ที่น่าขนลุกมากมาย เป็นต้นว่ารถสีเหลือที่ขับอย่างช้าๆ ชิดเลนขวาและเปิดไฟท้ายให้แซง และเมื่อรถแซงก็เหลือบมาเห็นมารถสีเหลืองไม่มีคนขับอยู่เลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ยังมีตำนานผีมากมาย เป็นต้นว่าผู้โดยสารที่เพิ่มเข้ามา เด็กน้อยที่เห็นขึ้นด้านข้างถนนที่กำลังมองหาอะไรบางอย่างและเมื่อเด็กเห็นรถ มันจะวิ่งด้วยความเร็วสูง และเมื่อมันวิ่งตามทัน มันจะถามคนขับรถว่า “คุณอาจเห็นแม่ของผม”เชื่อว่าผีเด็กนั้นเป็นลูกที่เสียชีวิตพร้อมกับแม่ของเขาในอุบัติเหตุทางหลวง ทุกวันนี้เด็กยังคงตามหาแม่ของเขาอยู่ ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด
มาเรีย ลาโบ ( Maria Labo ) ฟิลิปปินส์
มาเรีย ลาโบเป็นปีศาจกินคนในเกาะวิซายา ว่ากันว่าเธอออกหลอกหลอนคนในหมู่บ้านนานถึง 5 ปี เพราะคำสาปของชายชรา ให้เธอกลายเป็นอัสวัง (Aswang สิ่งเหนือธรรมชาติในฟิลิปปินส์ เป็นพวก ผีดูดเลือด, ผีปอบ, ยักษ์กินคน ครึ่งคนครึ่งสัตว์ หรือหมอผี)
ในสมัยที่มาเรีย ลาโบยังเป็นคนนั้นเธอเป็นแม่ของเด็กสองคน และมีสามีเป็นตำรวจ แต่รายได้สามีของเธอนั้นน้อยไม่พอเลี้ยงครอบครัว เธอเลยต้องออกไปทำงานเสริมโดยเป็นผู้ดูแลคนชราในเมือง และเธอดูแลชายชราคนหนึ่งโดยไม่รู้เลยว่าเขาเป็นอัสวัง และอัสวังไม่สามารถตายได้ถ้าเขาไม่ทิ้งมรดกสาปแช่งให้ทายาทเป็นอัสวังต่อไป และนั้นเองทำให้เขาสาปมาเรีย
หลายเดือนหลังจากชายชราคนนั้นเสียชีวิต มาเรียกตกงาน แต่เธอก็หวังมีชีวิตที่ดีขึ้น เธอเลยไปประเภทแคนาดาในฐานะแรงงาน หลังจากนั้นสองสามปีเธอก็กลับมา และทันใดนั้นคำสาปก็ได้เกิดขึ้น เธอกลายคนกระหายเนื้อมนุษย์
วันหนึ่งสามีของเธอกลับบ้าน และพบว่าบ้านของเขาเงียบผิดปกติอย่างน่าประหลาด เขาเดินเข้าไปในห้องครัว เห็นมาเรียปรุงอาหารมื้อค่ำ เขาถามว่าเด็กอยู่ไหน มาเรียได้เพียงแค่ชี้ไปที่หม้อใบใหญ่บนเตา เมื่อสามีเปิดฝาหม้อดูก็พบเด็กถูกสับและปรุงรสเคี่ยวในน้ำซุปอาหารมือเย็น
สามีของมาเรียได้เห็นภาพอันน่าสยดสยองเขาจึงคว้ามืดขนาดใหญ่ทำร้ายใบหน้าของมาเรีย ทำให้เกิดแผลเป็น และไล่เธอออกจากบ้าน
หลังจากนั้น ช่วงต้นปี 2000 ตำนานเมืองก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อมีคนพบเห็นมาเรียในวิซายา และมินดาเนา ซึ่งเธอพยายามหาเนื้อและเครื่องในมนุษย์เพื่อประทังความหิว โดยทั่วไปเธอสามารถเปลี่ยนร่างเป็นอะไรก็ได้ เธออาจกลายเป็นสาวสวย หรือหญิงชรา หรือได้ยินได้เสียงคำรามของสัตว์
ลิงโอรัง (Orang Minyak) มาเลเซีย
ประเทศมาเลเซีย มีตำนานเมืองที่ดูแล้วประหลาดเรื่องหนึ่ง ที่กล่าวถึงลิงโอรัง หรือ มนุษย์น้ำมัน ตำนานนี้เป็นที่นิยมเมื่อปี 1956 ช่วงนั้นมีการฉายภาพยนตร์ “Sumpah Orang Minyak” (คำสาปของมนุษย์น้ำมัน) พี รามลี(P. Ramlee) ในท้องเรื่อง ผู้ต้องสาปจากการเป็นผู้ที่ต้องการสมหวังในรักด้วยเวทย์มนต์ สิ่งชั่วร้ายได้มอบพลังแก่เขา สุดท้ายเขาก็กลายเป็นผู้เล่นไสยดำ ชอบมนต์ดำ ได้ข่มขืนหญิงพรหมจารีย์ร่วม 40 คน
หลังจากภาพยนตร์ออกฉาย ก็เกิดตำนานเล่าขานว่ามีการพบเห็นมนุษย์เปลือยกาย ที่เนื้อตัวปกคุลมด้วยน้ำมัน สีดำ
ที่แปลกคือมันไม่กระหายเลือดฆ่าคน หากแต่พวกมันมักทำร้ายและข่มขืนหญิงสาวและขโมยของมีค่า ในเวลากลางคืน จนเป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้าน ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นแก๊งข่มขืนที่เชื่อว่าการทาตัวด้วยน้ำมันและทองอาคมจะสามารถรอดพ้นต่อการถูกจับ
อย่างไรก็ตาม รายงานการพบริงโอรังก็เริ่มมีน้อยลดลงเรื่อยๆ จนเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ ปี แต่เมื่อเร็วๆ นี้ในปี 2012 มีเหตุการณ์ลิงโอรังออกอาละวาดในสองหมู่บ้านตลอดสามสัปดาห์
คดีฆาตกรรมฮัลโล คิตตี้ (The Hello Kitty Murder)ฮ่องกง-จีน
ในปี 1999 ได้เกิดคดีฆาตกรรมอันน่าสยดสยองในประเทศฮ่องกง คดีเกิดขึ้นในอพาร์เมนต์ชั้น3 ถนนแกรนวิลล์31 เหยื่อเป็นเจ้าของไนท์คลับ ชื่อ ฟาน มัน-ยี อายุ 23 ปี ที่ถูกลักพาตัวโดยผู้ชายสามคน ทั้งหมดมีอาชีพเป็นแมงดาและสาเหตุที่ลักพาตัวก็เนื่องจากผู้หญิงดังกล่าวไม่ได้ใช้หนี้ตามที่กำหนด พวกเขากักขังเธอนานกว่าหนึ่งเดือน ระหว่างถูกจองจำเธอก็ถูกทรมานอย่างไรความปราณี จนเธอขาดใจตาย ร่างของเธอถูกสับเป็นชิ้น บางส่วนทิ้งพร้อมกับขยะในครัวเรือน ส่วนหัวของเธอถูกยัดใส่ในตุ๊กตาแมวเหมียวฮัลโล คิตตี้ และยับติด ซึ่งต่อมาถึงเรียกขานว่า The Hello Kitty Murder
เป็นเวลาหลายสัปดาห์ที่เจ้าหน้าที่หลงลืมคดีฆาตกรรม จนกระทั่งแฟนสาวของหนึ่งในสามของฆาตกร ได้แจ้งความกับตลอด แล้วบ่นว่าเธอถูกผีของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นเหยื่อที่แฟนของเธอฆ่าตามมาหลอกลอน ตอนแรกตำรวจนึกว่าเรื่องล้อเล่น แต่เธอก็ไม่ลดละ เธอเลยท้าตำรวจให้ไปตรวจสอบ และเมื่อตำรวจเข้าไปสถานที่ดังกล่าวก็ตกใจกับสิ่งที่พวกเขาเห็น
ฆาตกรทั้งสามถูกจับอย่างรวดเร็วและถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่เรื่องยังไม่จบ หลายเดือนต่อมากล้องวงจรปิดของสถานที่ประกอบการใกล้เคียงได้จับภาพภูเขาคนหนึ่งซ่อนอยู่ในเงามืด พร้อมรายงานเสียงร้อง และดวงไฟลึกลับตามมา
อพาร์เมนต์ที่ฆาตกรรมคนเช่าต่างย้ายออกเพราะถูกผีหลอกหลอน จนไม่มีใครมาเช่า จนเจ้าของอพาร์เมนต์จำต้องปิดมันลง ในที่สุดก็ถูกทุบทิ้งในปี 2012
Tomino’s hell “โทมิโนะ” หรือ “นรกของโทมิโนะ”
เป็นตำนานเมืองญี่ปุ่น ที่เป็นบทกวี ที่ว่ากันว่าใครที่อ่านออกเสียงหรือท่องออกมาดังๆ ตั้งแต่ต้นจนจบจะรู้สึกเกิดอาการป่วยหรือทำร้ายตนเอง อุบัติเหตุ และที่เลวร้ายที่สุดคือตาย คลิปข้างล่างเป็นบทกวีที่ว่า (แต่เป็นโปรแกรมเสียงเพราะไม่มีใครกล้าที่อ่านออกเสียง) แม้ไม่ได้อ่านออกเสียง หรือฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่ความรู้สึกแล้วมันน่ากลัว จนไม่กล้าจะอ่านออกเสียงตามเลยก็ว่าได้ ที่มาของบทกวีนี้แต่งโดยโยโมตะ อินุฮิโกะที่แต่งเล่าเรื่องราวของโทมิโนะ ที่ตายเพราะโดดเดี่ยวและตกนรก นรกที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน และความโดดเดี่ยวมีข่าวลือจากคอมเม้นในยูทูปว่ามีชายคนหนึ่งอ่านออกเสียงบทกวีโทมิโนะ ปรากฏว่าเวลาต่อมาเขาอุบัติเหตุร้ายแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และนั้นทำให้เขาเชื่อว่าบทกวีโทมิโนะนั้นมีคำสาป ลองฟังคลิปที่ไม่มีใครกล้าที่อ่านออกเสียงกันดู
ผีสิงหน้ากากมาโจล่า (Haunted Majora Mask)ญี่ปุ่น
ที่ประเทศญี่ปุ่นมักมีตำนานแปลกประหลาดอยู่เสมอ หนึ่งในนั้นคือตำนานผีสิงหน้ากากมาโจล่า เบนจมน้ำ ซึ่งตำนานนี้เริ่มขึ้นในเว็บยอดนิยม 4เมื่อมีคนโพสต์ว่าเขาได้ตลับเกม(มือสอง) ที่ ไม่มีใบปิดบ่งบอกเลยว่าเป็นเกมอะไร มีเพียงแต่ปากกาเมจิกสีดำเขียนคำว่าหน้ากากมาโจล่าเท่านั้น โดยเขาโพสต์ภาพ และเล่นวีดีโอเกมไปด้วย
ซึ่งปรากฏว่ามันเป็นเกมเซลด้า (ภาคหน้ากากมาโจล่า) เมื่อเล่นเกมก็พบว่าเกมมีเซฟ (บันทึก) อยู่แล้วเพียงแค่ชื่อเบน แต่เขาไม่สนใจบันทึกไฟล์และเริ่มเกมใหม่ ก็สังเกตว่า ทั้งหมด (ตัวละครที่ไม่ใช่ผู้เลน) เรียกเราว่าเบนหมด เขาเลยตัดสินใจลบไฟล์เบนออก และพยายามที่จะเล่นเกมใหม่ แต่กลายเป็นว่าเกมผิดปกติมากขึ้นกว่าเดิม เช่นเพลงเล่นกลับไปข้างหลัง พร้อมรูปปั้นของเรา และตัวละครต่างมีใบหน้ายิ้มที่น่าขนลุก หากเราคุย เราจะโดนไฟเผาตายทันที ในที่สุดไฟล์ ก็กลับมา พร้อมกับมีอีกไฟล์ใหม่ว่า จมน้ำ เพิ่มเข้ามา และเมื่อเขาเล่นทั้งสองไฟล์ หากเขาตาย จะมีข้อความน่าขนลุกที่หน้าจอว่า “คุณจะได้พบชะตากรรมที่เลวร้ายแล้วสิน่ะ”