http://www.teenee.com/index.html
โสเภณี 10 แบบในประวัติศาสตร์โลก
การค้าประเวณี มีอยู่ทุกหนแห่งตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกประวัติศาสตร์กันมาแล้ว และมันเป็นอาชีพที่มีเวลาอันยาวนานที่สุดในการเจริญเติบโต โสเภณีมิได้เป็นเพียงโสเภณีอย่างเดียว มีผู้หญิงมากมายหลายแบบตลอดประวัติศาสตร์ที่ให้บริการหลากหลายระดับในสังคมเมือง ตั้งแต่ออหรี่ชั้นต่ำจนถึงหญิงงามเมืองของสังคมชั้นสูง
1) หยิง-ชิ (Ying-Chi)
หยิง-ชิ เป็นโสเภณีอิสระอย่างเป็นทางการพวกแรกในประวัติศาสตร์จีน โดยมีพวกเธอมาตั้งแต่ สมัยจักรพรรดิหวู่ ซึ่งว่ากันว่าพระองค์เกณฑ์บรรดาข้าราชบริพารฝ่ายหญิงให้มารับหน้าที่อย่างเดียว คือ การบำเรอทหารในกองทัพของพระองค์ขณะเดินทัพระยะไกล
คำว่า หยิง-ชิ นั้น แปลตามตัวได้ว่า “โสเภณีในค่ายทหาร” ซึ่งถือว่าเป็นคำยกย่องอย่างสูงในยุค 100 ปีก่อนคริสต์ศักราช
แหล่งข่าวบางแห่งตั้งข้อสงสัยว่าหญิงสาวเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นโสเภณีจีนพวกแรก ว่ากันว่า กษัตริย์แห่งเย่ว์ (มณฑลกวางตุ้งในประเทศจีน) ได้จัดตั้งค่ายค้าประเวณีเป็นแห่งแรก ซึ่งประกอบด้วยบรรดาแม่ม่ายของทหารที่ล้มตาย ผู้หญิงเหล่านี้แตกต่างจาก หยิง-ชิ เป็นอันมาก เพราะ หยิง-ชิ เป็นที่นิยมยกย่องและมีบทบาทในการมอบ “มิตรภาพ” ให้แก่ชายชาติทหารเท่านั้น
นอกจากนี้ หยิง-ชิ ยังแตกต่างจากผู้หญิงที่ทำงานในซ่องโสเภณีที่ดำเนินกิจการโดยรัฐบาล ซึ่งเป็นสถาบันที่เก่าแก่มากกว่า โดยสามารถย้อนหลังไปได้ถึง 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช
2) โสเภณีวิหาร (Temple Prostitutes)
บทบาทของ โสเภณีวิหาร ในสังคมกรีก-โรมันโบราณนั้น เป็นเรื่องที่เคยถกเถียงกันมามาก ไม่ใช่เรื่องที่เถียงกันว่ามันเป็นการปฏิบัติที่นิยมกันหรือไม่ ข้อนั้นมันแน่อยู่แล้ว แต่รายละเอียดของการปฏิบัติต่างหากที่ยังต้องมีการตีความ
โสเภณีวิหาร คือ พวกผู้หญิงที่ขายบริการภายใต้ความศักดิ์สิทธิ์ของวิหาร และด้วยการอนุญาตจากนักบวชของวิหาร นอกจากนี้พวกเธอยังทำงานเพื่อเทพเจ้าของพวกเธออีกด้วย
การบริการทางศาสนาของโสเภณีวิหารเหล่านี้จะได้รับค่าตอบแทนกี่มากน้อยนั้นไม่มีใครรู้ นักวิชาการบางคนแย้งว่าพวกเธอเป็นเพียงทาสที่ขายบริการเพื่อให้ได้รับเงินมาเข้าวิหารเท่านั้น บางคนเชื่อว่าพวกเธอมีบทบาทที่ได้รับการเคารพมากกว่านั้นเยอะ
ในวิหารและในการบวงสรวงเทพเจ้าของพวกเธอ และเชื่อว่าการไปเยือนโสเภณีวิหารและจ้างเธอ (หรือเขา) มาให้บริการนั้น เป็นรูปแบบของการบวงสรวงอย่างหนึ่ง ทฤษฎีนี้เป็นที่นิยมเป็นพิเศษในลัทธิการเจริญพันธุ์และผู้บูชากามเทวีอย่าง แอโฟรไดต์ (วีนัส) แนวความคิดของโสเภณีวิหารนั้น เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ และมีระดับชั้นที่แตกต่างกันตาม
สมณะศักดิ์ของวิหาร สาวพรหมจรรย์จำนวนมากทุกระดับชั้นในสังคมถูกนำมาที่วิหาร เพื่ออุทิศชีวิตและร่างกายของพวกเธอให้แก่การบวงสรวงเทพเจ้าและเทวีของพวกเขา
บางแหล่งข่าวระบุว่าหญิงสาวที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีเท่านั้น ที่จะได้เป็นโสเภณีวิหารในยุคกรีกโบราณ มีหลักฐานจำนวนมหาศาลที่ขัดแย้งกันว่าโสเภณีวิหารมีบทบาทอย่างไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ พวกเธอเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตแห่งวิหาร
3) เทวทาสี (Devadasis)
เทวทาสี คือ ผู้หญิงที่ถูกบังคับให้เข้าสู่วิถีชีวิตของการค้าประเวณี เพื่อรับใช้กามเทวีของฮินดูที่ชื่อ เยลลัมมา เมื่อเด็กหญิงเหล่านั้นถึงวัยเจริญพันธุ์ พ่อแม่ของพวกเธอก็นำพรหมจรรย์ของพวกเธอออกประมูลและขายให้แก่ผู้ให้ราคาสูงสุด
ในทันทีที่พรหมจรรย์ของพวกเธอถูกทำลาย พวกเธอก็ถูกอุทิศให้กับเทวีองค์นั้น และใช้เวลาที่เหลือในชีวิตเป็นโสเภณีในพระนามของเยลลัมมา ทุกคืนชะตากรรมของพวกเธอไม่เคยเปลี่ยน กล่าวคือ ถูกขายให้ใครก็ตามที่จ่ายมากที่สุด
สำหรับพ่อแม่ มันไม่ใช่การกระทำที่เลวร้ายแต่อย่างใด ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องจ่ายค่าสินสอดให้กับผู้ชายที่จะมาแต่งงานกับลูกสาวของพวกเขาเท่านั้น แต่พ่อแม่หลายคนยังเก็บเงินที่ลูกสาวหามาได้อีกด้วย
การปฏิบัติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในศาสนาของเยลลัมมาที่ปฏิบัติกันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ แต่ถึงแม้ว่ามันเป็นสิ่งผิดกฎหมายในอินเดียในค.ศ. 1988 การปฏิบัติเช่นนี้ก็ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน ตราบาปที่ติดตัวเทวทาสีนั้นหนักหนาสาหัส
แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจที่จะเลิกใช้ชีวิตแบบนี้ พวกเธอก็จะไม่มีวันได้แต่งงาน ทันทีที่พวกเธอถูกอุทิศให้แก่เทวีของพวกเธอ ก็ไม่มีทางหันกลับมาอีกได้ เทวทาสีส่วนใหญ่ถูกขับออกจากวิหารในวัย 45 ปี เมื่อพวกเธอถูกพิจารณาว่าไม่เป็นสาวและไม่มีเสน่ห์พอที่จะนำเกียรติศักดิ์มาสู่เทวีของพวกเธอได้แล้ว และส่วนใหญ่กลายเป็นขอทานเพื่อประทังชีวิตส่วนที่เหลือไปจนวันตาย
4) นางโลม (Comfort Women)
นางโลม หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “หญิงประโลมใจ” ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เป็นเชิงอรรถทางประวัติศาสตร์อันดำมืด และถูกมองข้ามอยู่บ่อยๆ มันเริ่มต้นในปี 1932 เมื่อทหารญี่ปุ่นเริ่มเกณฑ์ผู้หญิงซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีมาทำงานใน “สถานีประโลมใจ” ที่จัดตั้งขึ้นใหม่
ผู้หญิงเหล่านี้ได้รับคำสัญญาว่าจะมีงานทำ แต่สิ่งที่ทางญี่ปุ่นไม่ได้บอกพวกเธอ ก็คือว่า สถานีเป็นซ่องโสเภณีสำหรับบริการทหารญี่ปุ่น
ในที่สุดผู้หญิงประมาณ 200,000 คน ถูกลำเลียงไปทางเรือเพื่อเป็นนางโลม และประมาณการกันว่ามีเพียง 25-30% ของผู้หญิงเหล่านี้ที่รอดชีวิตจากเคราะห์กรรมของพวกเธอ เด็กหญิงอายุแค่ 11 ขวบถูกบังคับให้บริการทางเพศแก่ผู้ชายวันละประมาณ 50-100 คน และจะถูกเฆี่ยนตีถ้าพวกเธอปฏิเสธ
ในขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นเคยกล่าวคำขอโทษด้วยวาจามาบ้างแล้ว แต่พวกเขาปฏิเสธการชดเชยด้านการเงินให้แก่นางโลมและครอบครัวของพวกเธอ พอถึงปี 2014 ก็มีนางโลมเพียง 55 คนที่ยังมีชีวิตอยู่
5) โอเลทริดิส (Auletrides)
โอเลทริดิส คือ โสเภณีชั้นหนึ่งของกรีกซึ่งมีตำแหน่งอันน่าพึงพอใจในสังคมกรีกโบราณ ผู้หญิงเหล่านี้ห่างไกลจากออหรี่ธรรมดาด้วยทักษะที่มากกว่าแค่การขายบริการทางเพศ พวกเธอเป็นนักเป่าขลุ่ยและนักเต้นระบำที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี
บางคนมีความสามารถอื่นๆ ที่ทำให้พวกเธอเป็นนักแสดงอันเป็นที่หลงใหลต่อสาธารณชน อย่างเช่น การโยนของสลับมือ การฟันดาบ และการเล่นกายกรรม หลายคนถูกนำไปแสดงปาหี่ตามถนน รวมทั้งในการเฉลิมฉลองทางศาสนาและเทศกาลต่างๆ แหล่งข่าวบางคนกล่าวว่าพวกเธอยังเป็นผู้ให้ความบันเทิงยอดนิยมสำหรับเด็กๆ อีกด้วย
โอเลทริดิสยังถูกจองตัวไว้สำหรับแสดงในงานเลี้ยงส่วนตัวได้อีกด้วย และมักจะจบลงด้วยการให้บริการทางเพศด้วยความชำนาญของพวกเธอ ความสามารถพิเศษอื่นๆ ของพวกเธอบางคนก็ยังมีอีก เช่น เป็นนักเล่นพิณหรือนักเล่นกีตาร์ หญิงสาวเหล่านี้ (บางทีก็เป็นเด็กหนุ่ม) มักขึ้นสังกัดกับแม่เล้าซึ่งจ้างพวกเธอออกไปหาลำไพ่ในงานเลี้ยงส่วนตัว
BiRdY