ภาวะขาดวิตามินดีสามารถพบเห็นได้มากอย่างไม่น่าเชื่อในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าไม่เป็นอันตรายเนื่องจากพวกเขาบริโภคอาหารเสริมที่อุดมไปด้วยวิตามินดี เช่น นม เป็นต้น อันที่จริงมีอาหารเพียงไม่กี่ชนิดที่มีวิตามินดีสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสูงพอตามที่ร่างกายต้องการด้วย แม้ว่าจะชื่อวิตามินดีแต่ก็ไม่ใช่วิตามินทั่วไป อันที่จริงมันคือฮอร์โมนสเตียรอยด์ที่ได้จากแสงแดดไม่ใช่จากการรับประทานอาหาร
ภาวะขาดวิตามินดีแพร่กระจายได้อย่างไร?
ก่อนปี 2000 มีแพทย์เพียงไม่กี่คนหรอกที่จะวินิจฉัยว่าคุณอยู่ในภาวะขาดวิตามินดี แต่เมื่อเทคโนโลยีชี้ว่าวิตามินดีมีราคาไม่แพงและสามารถหาซื้อได้อย่างแพร่หลายบวกกับมีการศึกษามากขึ้น ทำให้เห็นได้ชัดว่าภาวะขาดวิตามินดีมีความรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) รายงานว่าประชากรชาวอเมริกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ร้อยละ 32 อยู่ในภาวะขาดวิตามินดี The National Health and Nutrition Examination Survey พบว่าร้อยละ 50 ของเด็กอายุตั้งแต่ 1-5 ปีและร้อยละ 70 ของเด็กอายุตั้งแต่ 6-11 ปี อยู่ในภาวะขาดวิตามินดีหรือบริโภควิตามินดีไม่เพียงพอ
นักวิจัย ดร.โฮลิค ประเมินว่าประชากรร้อยละ 50 มีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดี นอกจากนี้นักวิจัยยังให้ข้อสังเกตว่าภาวะขาดวิตามินดีมักเกิดกับผู้ใหญ่ทุกช่วงอายุที่นิยมทาครีมกันแดด (ซึ่งขัดขวางการผลิตวิตามินดี) หรือมักจะงดกิจกรรมกลางแจ้ง ที่สำคัญผู้ที่มีเม็ดสีเข้มบนผิวหนังเป็นจำนวนมาก เช่น ผู้ชายในแถบแอฟริกา ตะวันออกกลาง หรืออินเดีย ก็มีความเสี่ยงสูงเมื่อพวกเขามีอายุมากขึ้น และประชากรสูงอายุของอเมริกามากกว่าร้อยละ 95 ก็อาจเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดี เนื่องจากพวกเขาไม่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง (ผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไปจะมีการผลิตวิตามินน้อยกว่าคนหนุ่มสาวประมาณร้อยละ 30) ทางเดียวที่จะทำให้รู้ว่าคุณขาดวิตามินดีหรือไม่คือการตรวจเลือด อย่างไรก็ตามยังมีอาการและสัญญาณเตือนที่จะบอกให้รู้ได้ด้วยเช่นกัน หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ก็ควรไปตรวจระดับวิตามินดีให้เร็วที่สุด
7 สัญญาณเตือนว่าคุณอาจอยู่ในภาวะขาดวิตามินดี
1. ผิวคล้ำลง
ชาวอเมริกันแอฟริกันมีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดีสูงกว่าคนกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากถ้าคุณมีผิวคล้ำ คุณอาจต้องการวิตามินดีในการต่อสู้กับแสงแดดมากกว่าคนอื่นที่มีผิวสีอ่อนถึงสิบเท่า เม็ดสีบนผิวหนังจะทำหน้าที่ป้องกันแสงแดดตามธรรมชาติ ยิ่งคุณมีเม็ดสีมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเพื่อให้ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ
2. รู้สึกซึมเศร้า
เซโรโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนสมองและมีความสัมพันธ์กับอารมณ์จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อสัมผัสกับแสงสว่างและลดลงเมื่อไม่ถูกแสงแดด ในปี 2006 นักวิทยาศาสตร์พบว่าวิตามินดีจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วยสูงอายุจำนวน 80 คนและผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ที่ได้รับวิตามินดีปกติถึงสิบเอ็ดเท่า
3. คุณอายุ 50 ปีหรือแก่กว่านั้น
อย่างที่บอกเมื่อคุณแก่ตัวลงผิวของคุณก็จะสร้างวิตามินดีเพื่อตอบสนองต่อแสงแดดได้น้อยลง ขณะเดียวกันไตของคุณก็จะมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนวิตามินดีให้อยู่ในรูปแบบที่ร่างกายต้องการน้อยลง
4. น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน (หรือมีมวลกล้ามเนื้อสูง)
วิตามินดีเป็นวิตามินที่คล้ายกับฮอร์โมนและละลายในไขมันได้ ซึ่งหมายความว่าไขมันในร่างกายจะทำหน้าที่เป็น “อ่าง” โดยการสะสม หากคุณมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนก็มีแนวโน้มที่จะต้องการวิตามินดีมากกว่าคนที่มีรูปร่างผอมบางกว่า เช่นเดียวกับผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อมากก็ต้องการวิตามินดีมากด้วยเช่นกัน
5. ปวดกระดูก
ผู้ที่ไปพบแพทย์เนื่องจากมีอาการปวดและมีอาการเหนื่อยล้าร่วมด้วยอาจถูกวินิจฉัยโรคผิดว่าเป็นโรคปวดกล้ามเนื้อหรืออาการอ่อนล้าเรื้อรัง ซึ่งอาการเหล่านี้มีลักษณะคล้ายๆกับภาวะขาดวิตามินดี ภาวะขาดวิตามินดีจะทำให้การถ่ายเทแคลเซียมผสมกับคอลลาเจนเข้าไปในโครงกระดูกบกพร่อง ผลที่ตามมาคือคุณจะรู้สึกปวดกระดูก
6. เหงื่อออกที่ศีรษะ
หนึ่งในอาการของผู้ที่ขาดวิตามินดีคือมีเหงื่อออกที่ศีรษะ ขณะเดียวกันอาการเหงื่อออกที่ศีรษะของเด็กทารกเกิดจากความไวในการตอบสนองของกล้ามเนื้อประสาทซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของภาวะขาดวิตามินดี
7. ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา
จำได้ไหมว่าวิตามินดีคือวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน ซึ่งหมายความว่าถ้าคุณมีสภาพทางเดินอาหารที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดูดซึมไขมัน การดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันได้อย่างวิตามินดีก็จะลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยโรคทางเดินอาหารอักเสบโครห์น โรคแพ้กลูเต็น โรคเซลิแอค (อาการผิดปกติเกี่ยวกับการดูดซึมอาหารของลำไส้) และโรคกลุ่มอาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง
ที่มา:http://issue247.com/beauty/health/signs-you-may-have-a-vitamin-d-deficiency/
Source : realfarmacy.com
ขอบคุณ ไก่อ้วน