โลกของการเล่นแร่แปรธาตุ

ประวัติของ วิชาเล่นแร่แปรธาตุ

นักเล่นแร่แปรธาตุคือ

 

ถ้า จะจำกัดความคำว่านักเล่นแร่แปรธาตุแล้วล่ะก็คงต้องบอกว่าพวกเค้าคือ นักวิทยาศาสตร์+พ่อมด นั่นเองล่ะครับ เพราะสิ่งที่เค้าศึกศึกษาก็คือกฎของธรรมชาติว่าด้วย

ความเป็นไปตามธรรมชาติ


แต่จะต่างกับนักวิทยา ศาตร์ยุคนี้ ก็คือพวกเค้าศึกษาและค้นคว้ากฏการต้านธรรมชาติด้วย เช่น การสร้างสิ่งมีชีวิตจากสิ่งไร้ชีวิต การไม่แก่ไม่ตาย การเปลี่ยนสสารให้กลายเป็นทอง ฯลฯ

ซึ่งบางครั้งก็มีหลักบ้างไม่มีหลักบ้างตาม แต่วิธีของตน ทว่าสิ่งเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุค้นพบก็ไม่ใช่จะเป็นแค่นิยายหลายอย่างเราก็ ยังคงสืบทอดผลงานของพวกเค้าอยู่ เช่น ดินปืนที่นักแปรธาตุชาวจีนค้นพบ หรือแม้แต่มอร์ต้าหรือปูนฉาบที่พระอียิปต์ค้นพบเมื่อ4000ปีก่อนเราก็ยัง ใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้



ได้ตามแต่ประสงค์ของเทพซึ่ง เค้ารู้ว่าประสงค์ของเทพคืออะไรและนั่นก็คือต้นกำเนิดวิชาเล่นแร่แปรธาตุ นั้นเอง ความสำเร็จของชาวอียิปต์นั้นน่าทึ่งมากเพราะพวกเค้าเป็นชนชาติแรกที่คิดค้น mortar หรือปูนฉาบได้ตั้งแต่4000ปีก่อน ประวัติศาสตร์ และ คิดค้นแก้วได้ตั้งแต่1500ปีก่อนประวัติศาสตร์ ที่สำคัญพวกเราเป็นชนชาติแรกที่รู้จักปฏิกริยาเคมี ด้วยการเผาหินปูน(CaCO3 )ได้ ผลิตภัณฑ์เป็น CaO (แคลเซียมออกไซด์) และ CO2. (คาร์บอนไดออกไซด์)

นับเป็นความก้าวหน้าที่ยอด เยี่ยมมากสำหรับยุคที่ยังไม่รู้จักแม่แต่คำว่าออกซิเจน หลังจากเป็นที่ประจักแก่โลกจึงได้มีการถ่ายทอดสู่อารยธรรมอื่นในปีค.ศ.332 เมื่อชนชาติกรี-กและอียิปต์มีความสัมพันธ์ต่อกันจนในแพร่เข้ามาในยุโรปแปร เปลี่ยนเป็นวิชาเล่นแร่แปรธาตุในที่สุด

ส่วนนี่คือภาพสลักลึกลับที่ นักประวัติศาสตร์คิดไม่ออกว่าเป็นอะไรเพราะภาพฝาพนังในวิหารHathor แห่ง Dendera มันช่างคล้ายกับหลอดรังสีคาโทดอุปกรณ์วิทยาศาสตร์จากศตวรรษที่19เหลือเกิน

โลกแห่งการแปรธาตุ

 

ถึงตอนนี้คงไม่มีใครกล้า เถียงว่าอารยธรรมแรกๆที่ใช้วิชานี้คือชนชาติอียิปต์โบราณ แต่ก็ใช่ว่าวิชานี้จะสืบสานมาจากอียิปต์โดยตรงทั้งหมด บางที่ก็มีการคิดเองแม้จะหลังอียิปต์ หรือบางที่ก็สืบทอดมาจากที่อื่นอีกทีเรามาดูกันดีกว่าครับว่ามีที่ไหนกัน บ้างครับ

กรีก-โรมัน

อารยธรรมแรกที่ได้รับวิชา นี้ต่อมาจากอียิปต์ซึ่งแน่นอนไม่ได้มาแค่วิชา แม้แต่ความเชื่อก็รับมาเต็มๆไม่ว่าจะเป็นการใช้ดาราศาสตร์ควบคู่กับการแปร ธาตุ หรือเทวตำนานต่างๆแม้แต่สัญลักษณ์เองก็ยังใช้ตามอียิปต์ซะส่วนมาก ซึ่งหลักการก็ยังเหมือนเดิมแต่มีการเสริมสร้างด้านเทวตำนานเข้าไปบ้างเช่น พระเจ้าสร้างโลก สร้างมนุษย์ แต่ก็ยังมีส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์แทรกเข้ามาด้วยเช่นกันแม้บางหลักจะเลิกใช้ ไปแล้ว

บางหลักก็ยังเป็นที่เชื่อ ถือในหมู่ผู้ชื่นชอบวิชานี้เช่น สรรพสิ่งเกิดจากธาตุ4 ดิน น้ำ อากาศ ไฟ เป็นต้น แต่ เมื่อศาสนาคริสต์เข้ามาให้ยุคของอาณาจักรโรมัน แนวทางของความเชื่อก็เปลี่ยนเป็น พระเจ้าและปีศาจ โดยยกให้พระเจ้าสร้างปีศาจทำลาย และปฏิเสธความเชื่ออื่นในฐานะความคิดนอกรีต เหล่านักแปรธาตุจึงไม่ค่อยกล้าแสดงตัวจนค่อยเสื่อมความนิยมศาสตร์นี้ลงไป

อาหรับ

ใน ขณะที่อาณาจักรโรมันเป็นยุคเสื่อมของวิชาแปรธาตุในแถบนี้กลับเฟื่องฟุอย่าง น่ากลัวจนมีสารประกอบแปลกๆเกิดขึ้นมากมายเช่น Alcohol(โปรดสังเกตุสารที่ขึ้นด้วยAlนั้นคิดโดยชาวอาหรับแทบทั้งสิ้น)กรดไนตริก โซดา(al-natrun) potash (alkali) แต่ที่ถือว่าสุดยอดจริงๆก็คือAqua regia หรือกรดกัดทอง ไม่ทราบว่าทุกท่านรู้หรือไม่ว่า ในโลกนี้มีกรดเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ละลายทองได้นั่นก็คือ Aqua regia (ราชาน้ำ) ซึ่งยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ ทว่าสิ่งสุดยอดที่แท้จริงกลับไม่ใช่เจ้า Aqua regia เพราะ มีบันทึกไว้ว่า Jabir ibn Hayyan(คนนี้นี่ล่ะที่คิดAqua regiaได้) นักแปรธาตุอิสลามสามารถ สร้างชีวิตประดิษฐ์ขึ้นมาได้ ซึ่งเค้าขนานนามมันว่า Takwin ซึ่งน่าจะเป็นต้นแบบของโฮมูนครูส แต่แน่นอนครับไม่มีหลักฐานว่าเรื่องนี้เป็นความจริงจึงยกให้เป็นเรื่องเล่า ไป แต่ก็มีบางตำนานที่เชื่อว่าพลังแห่งวิชาแปรธาตุนี้โลกอิสลามได้รับมาจาก อาณาจักรบาบิโลเนียโดยตรงเพราะพบหลักฐานว่าใน อารยธรรมลุ่มน้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส นั้นมีการใช้ แบทเตอรี่ มานานกว่า2000ปีแล้วโดยสัญนิษฐานว่าจะใช้ในการทำเหมืองทอง(ตรงตามหลักวิชา เล่นแร่แปรธาตุเป๊ะ)

จีน

ว่ากันว่าวิชาแปร ธาตุของจีนนั้นมาจากเปอเซียร์ซึ่งเป็นสายที่ใกล้เคียงกับยุโรป แต่ในความเป็นจริงกลับต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งหลักการที่ใช้ธาตุทั้ง5 (น้ำ-โลหะ-ไม้-ไฟ-ดิน)และแนวคิดอื่นๆ ด้านยุโรปนั้นเน้นการแปลงโลหะเป็นทอง แต่ของจีนจะเน้นด้านการแพทย์ ทว่ากลับมีแนวคิดหนึ่งที่เหมือนกันอย่างน่าแปลกนั่นก็คือ การสร้างน้ำอมฤต ส่วนความสัมฤทธิ์ สูงสุดของวิชาแปรธาตุจีนคือการสร้าง ดินปืน ที่เรายังใช้มาจนปัจจุบัน ซึ่งนี่อาจจะเรียกได้ว่างานประดิษฐ์ที่ทรงคุณค่าที่สุดของชนชาติจีนเลยก็ว่า ได้

อินเดีย

อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุนั้น ถูกกล่าวขวัญมานานแล้วว่ามีแนวคิดด้านวิชาแปรธาตุที่ล้ำลึกถึงขั้นSub-Atomicเลย ทีเดียว โดยจากบันทึกของ นักแปรธาตุชาวเปอเซียร์ยุคศตวรรษที่11ได้กล่าวไว้ใน The Vaishashik Darshana of Kanad ว่า”ที่นี่มีศาสตร์ประหลาดที่ชื่อว่า Rasavýtam (ขออภัยอ่านไม่ออกจริงๆ) ที่กล่าวถึงการแปลความสัมพันธ์ของสสารให้กลายเป็นสิ่งต่างๆไม่ว่าจะยาที่ ย้อนอายุได้ หรืออาหารทิพย์ที่เกิดจากความว่างเปล่า” โดยตำนานนี้สามารถย้อนกลับไปได้ถึง 600 ปีก่อนคริสตกาล(2600ปีก่อน) แถมที่อินเดียนี้ยังมี คัมภีร์อายุระเวท คัมภีร์การแพทย์เก่าแก่ที่บอกสูตรยารักษาโรคไว้มากมายมีแม้กระทั่งการผ่าตด ที่ซับซ้อนตั้งแต่ยุคก่อน ค.ศ. เสียอีก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในดินแดนแห่งศาสตร์แปรธาตุเลยทีเดียว

ยุโรป

บอก ตามตรงก่อนเขียนบทความนี้ผมคิดเสมอว่ายุโรปคือที่กำเนิดของวิชานี้แต่ที่ จริงแล้วไม่ใช่เลยแท้จริงแล้วเกือบทั้งหมดของวิชาแปรธาตุในยุโรปนั้น ได้รับมาจากอิสลามอีกทีหนึ่ง ในความเป็นจริงแล้วยุโรปนั้นมีความสนิทชิดเชื้อกับทางกรีก-โรมัน บอกตามตรงก่อนเขียนบทความนี้ผมคิดเสมอว่ายุโรปคือที่กำเนิดของวิชานี้แต่ที่ จริงแล้วไม่ใช่เลยแท้จริงแล้วเกือบทั้งหมดของวิชาแปรธาตุในยุโรปนั้นได้รับ มาจากโลกอิสลาม

อีกที หนึ่ง ในความเป็นจริงแล้วยุโรปนั้นมีความสนิทชิดเชื้อกับทางกรีก-โรมันมากจึงไม่ แปลกที่จะมีความรู้พื้นฐานการแปรธาตุจากที่นั่นตกทอดมาถึงแต่ทว่าด้วยความ ที่ร้างราขาดช่วงไปนานองค์ความรู้ของวิชานี้จึงหายสิ้นไปจากแผ่นดิน จวบจนกระทั่ง Gerbert of Aurillac (ซึ่งก็คือพระสังฆราช Silvester ที่II,นั่น เองครับ) ได้นำองค์ความรู้จากโลกอิสลามที่สั่งสมไว้ในเสปนเข้ามาสู่ยุโรปในปี ค.ศ.1003จนแพร่หลายไปทั่ว ทว่ากว่าจะมีผู้ทำการทดลองอย่างจริงจังก็ปาไปกว่า200ปีให้หลัง นามของคนแรกที่จัดได้ว่าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุอย่างแท้จริงก็คือ Roger Bacon.พระแห่งลัทธิ St. Francis ทว่าแม้ Bacon นั้นจะถูกเรียกว่าเป็นนักแปร ธาตุคนแรกของยุโรป แต่จริงๆแล้วเค้านั้นมีชื่อเสียงโด่งดังฐานะปรัชญากรตัวยงมากกว่า แถมเค้านี่ล่ะที่เป็นผู้คิดค้นพบ “กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์”

(หมาย ถึงแนวคิดในการได้มาซึ่งความรู้อันประกอบด้วย ถามผู้รู้ คิดตรึกตรอง และ ทดลอง)อันเลื่องชื่อ และก็เป็นเค้าอีกนั่นเองที่เป็นคนริเริ่มแนวคิดในการตามหา ศิลานักปราชญ์ที่ใช้สร้างน้ำอมฤทธิ์(Elixir)เพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาวอีกด้วย ซึ่งแนวคิดทั้ง2ของเค้าก็ถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะแนวคิดเชิงวิทยา ศาสตร์ที่เราทุกคนเคยเรียนผ่านมาแล้วครับ

ทว่า ยุครุ่งเรืองของวิชาแปรธาตุนั้นคงอยู่ได้ไม่นานเพราะมันทีที่ พระสังฆราชJohn XXII ขึ้นครองตำแหน่งพระองค์ได้ประกาศให้วิชาแปรธาตุเป็นสิ่งนอกรีต ผู้ใช้วิชานี้จะมีความผิดนักแปรธาตุจึงแทบจะสูญสิ้นไปในบัดดล

แต่ แต่ แต่ ก็ไม่ทุกคนนะครับ เพราะหลังจากนั้นคนที่เป็นตำนานจริงๆก็ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นหลังจากยุคของ Bacon ราว200ปี นามนั้นคือ

Nicolas Flamel,?1330 to 1417? ถ้าจะ ถามว่าทำไมเค้าคือตำนานก็คงต้องบอกว่าเค้าเป็นหนึ่งในนักแปรธาตุจำนวนน้อย นิดที่ผู้คนเชื่อว่ามี ศิลานักปราชญ์ อยู่ในครอบครอง Nicolas Flamel นั้นความจริงแล้วเป็นนักศึกษาทุน ศาสนา แต่ด้วยความหลงใหลในวิชาแปรธาตุจึงทำให้เค้า ค้นหาศิลานักปราชญ์และเหลือเชื่อเค้าเจอมันครับ ออกจะเหลื่อเชื่อปนเว่อร์ซักนิดและก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเค้ามีมันจริงหรือไม่ แต่2สิ่งที่น่าสนใจคือ จู่ๆเค้าก็ร่ำรวยขึ้นผิดหูผิดตา และในหลุมศพของเค้านั้น ว่างเปล่า ทั้งๆที่มันน่าจะมีศพของ นิโคลัสและภรรยาอยู่ ผู้คนจึงลือกันหนักข้อขึ้นว่าทั้ง2คนดื่ม Elixir ยาอมตะจนไม่แก่ไม่ตาย แต่แกล้งตายเพื่อที่จะหนีจากสังคมไป คุณเชื่อมั้ยล่ะ

ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา วิชาแปรธาตุก็ยังมีผู้สืบทอดต่อมาจนมีตำนานมากมายกล่าวถึงวิชานี้ หรือมีแม้กระทั่งองค์ความรู้ใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากวิชาแปรธาตุ จนในที่สุดเหล่านักแปรธาตุก็กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์และวิชาแปรธาตุก็ได้แปร ตนเองเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ไปในที่สุด ดังนั้นหากเราจะกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เป็นผู้สืบทอดวิชาเล่นแร่แปรธาตุก็คงไม่น่าจะผิดนักหรอกนะครับ

 

 

 

ขอขอบคุณภาพ+เนื้อหา cartoon.co.th, joser.50megs.com

Credit: http://atcloud.com/stories/64748
#ลึกลับ
Messenger56
นักแสดงรับเชิญ
สมาชิก VIP
26 พ.ค. 53 เวลา 16:53 11,031 2 50
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...