ต้นกำเนิด ADIDAS และ PUMA เกิดมาจากพี่น้องทะเลาะกัน

       ย้อนกลับไปเมื่อปี 1920 ซึ่งเป็นปีที่ อาดอล์ฟ ‘อาดิ’ ดาสส์เลอร์ วัย 20 ปีลูกชายคนโตของช่างทำรองเท้าคนหนึ่ง ในเมืองเล็กๆที่ชื่อ เฮอร์โซเกเนาราชในรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ผลิตรองเท้าสำหรับวิ่งที่มีเดือยแหลมใต้รองเท้าคู่แรกขึ้น รองเท้าของพวกเขามีโลโก้คือ แถบสี 2 เส้น

       Adolf หรือ Adi Dassler เริ่มผลิตรองเท้ากีฬาของเขาเองหลังจากกลับมาจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและน้องชายของเขา Rudolf (Rudi) Dassler ในปี 1924 ‘อาดิ’ จึงร่วมก่อตั้งบริษัทรองเท้ากีฬาในชื่อ Dassler “Dassler Schuhfabrik (Dassler Brothers Shoe Factory)” ขึ้นมา ซึ่งสามารถขายรองเท้าได้ 200,000 คู่ ต่อปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

 

      เมื่อถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานถูกพวก Nazis เข้าครอบครองและสั่งให้ผลิตรองเท้าบูทเพื่อทหารของเยอรมัน และRudi ถูกเรียกตัวให้ร่วมรบกับกองทัพเยอรมันด้วย และเขาก็ถูกทหารของ Allied จับในฐานะนักโทษสงคราม เขาต้องใช้ชีวิตเป็นนักโทษสงครามอยู่ในค่ายทหารถึง 1 ปี หลังสงครามจบเขาก็ได้กลับมาที่ โรงงาน แดสเลอร์ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

……บ้างก็ว่า Rudi โกรธเรื่องแฟนสาวของตน มีใจให้พี่ ชาย

…..บ้างก็ว่า เพราะพี่ชายไม่ไปเจรจาต่อรองเพื่อขอแลกนักโทษ

…..บ้างก็ว่า อาจเป็นเพราะบริษัทเติบโตเร็วและไปได้ดีเกินไป

…..จนการจัดสรรผลประโยชน์กลายเป็นข้อขัดแย้งระหว่างสองพี่น้อง

     แต่แล้ว ในปี 1948 รูดอล์ฟ ดาสส์เลอร์ ตัดสินใจแยกตัวออกมาตั้งบริษัทใหม่เอง บริษัทของ Rudi แต่เดิมเรียกว่า Ruda แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็น Puma เพื่อให้ฟังแล้ว แข๊งแกร่ง น่าเกรงขาม และตั้งชื่อบริษัท “พูม่า อาเก รูดอล์ฟดาสส์เลอร์ สปอร์ต” ซึ่งเป็นผู้ผลิตรองเท้าและอุปกรณ์กีฬายี่ห้อพูม่า ในเวลาต่อมา

 

    ในขณะที่ Adi ใช้ชื่อ Adidas โดยการรวมชื่อกับนามสกุลของเขา [Adi+Dassler=Adidas] โดยใช้ลักษณะเฉพาะของแถบ 3 แถบเป็นโลโก้ โดยเพิ่มเข้าไปอีก 1 แถบจากโลโก้เดิมของ Dassler

 

ซึ่งความบาดหมางนี้ กลายเป็นทางแยกของพี่น้อง ตลอดกาล

 

     ในเวลาต่อมาต่อมาRudolf เสียชีวิต ลูกชายสานงานต่อ แต่กิจการย่ำแย่ลง เมื่อขาดเสาหลัก นาย Bernard Tapie ก็ซื้อกิจการไป และมีการขายให้ธนาคารและเปลี่ยนมือพอสมควร จนกระทั่ง กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ จากการควบรวมกิจการกับบริษัท ผลิตเสื้อผ้าสกี และ การคิดค้นรองเท้ารุ่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง

     แต่ทั้ง 2 ไม่เคยยอมให้กัน PUMA ทำการตลาดครั้งใหญ่ โดยเน้นที่ “ไข่มุกดำ” เปเล่ ของบราซิล ที่เคยใส่รองเท้า พูม่า ลงในนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1970 มาทำการตลาดประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ อาดิดาส สวนกลับทันที ให้ มาร์ค สปิตซ์ ยอดนักว่ายน้ำอะเมริกัน ถือรองเท้าอาดิดาส รุ่น Gazelles ในพิธีรับเหรียญทองโอลิมปิก ปี 1972

     ทั้งคู่ ก็ยังดำเนินสงคราม ทั้งสิทธิการฟ้องร้อง การลอกเลียนแบบ ความโกรธแค้นและอื่นๆ ต่อมายาวนาน แต่ความบาดหมางยาวนานเพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อ ปี 2009CEO และผู้ถือหุ้น ของทั้ง 2 บริษัท

 

    เพิ่งจะเตะบอลกระชับมิตร เพื่อฟื้นความสัมพันธ์แทน2 พี่น้องผู้ให้กำเนิดรองเท้ามากกว่า 1,000 ล้านคู่ บนโลกใบนี้ ซีตซ์ CEO ของ อาดิดาสกล่าวกับนักข่าวว่า ”พี่น้อง 2 คนไม่ยอมคุยกันจนกระทั่งจากโลกไป และ เรื่องนี้ถือว่าโชคร้ายมาก เราเป็นบริษัทมหาชน และ เรามุ่งเน้นในธุรกิจของเราเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้ไอเดียคือรวมกัน และ เล่นฟุตบอลด้วยกันในนามของสันติภาพ”

 

ปัจจุบัน

    จากรองเท้าและอุปกรณ์กีฬา พูม่าแตกไลน์มาผลิตเสื้อผ้า และกลายเป็นยี่ห้อที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในแวดวงดนตรีฮิปฮอปและการทำกราฟฟิตี ทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970-1980 และยังคงความนิยมไม่เสื่อมคลายจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันพูม่ามีพนักงานทั้งหมดประมาณ 3,910 คน และมีสินค้าวางจำหน่ายมากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก และยังผลิตสินค้าด้วยการว่าจ้างโรงงานใน 30 ประเทศเป็นผู้ผลิตสินค้าให้ ซึ่งในปีงบประมาณ 2004 พูม่ามีรายได้ทั้งหมด 1,530.3 ล้านยูโร

แต่เมื่อนำไปเทียบกับบริษัทผู้พี่อย่างอาดิดาส

    (ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น อาดิดาส-ซาโลมอน เอจี หลังจากได้เข้าร่วมกิจการกับกลุ่มซาโลมอน ซึ่งเป็นผู้นำด้านเครื่องแต่งกายกีฬาของฝรั่งเศส ตั้งแต่เมื่อปี 1997) ก็จะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน เนื่องจาก ในปีงบประมาณ 2003 อาดิดาสมีพนักงานทั้งหมด 15,686 คน และมีรายได้ถึง 6,267 ล้านยูโร แถมยังเป็นผู้ผลิตรองเท้าและ เครื่องแต่งกายกีฬาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียง ไนกี้ เท่านั้น

    แถมท้ายให้นิดเกี่ยวกับเสือในโลโก้ของพูม่า ซึ่งทีมงานของเราเองเกิดสงสัยขึ้นมา ว่าเป็นเสือประเภทไหน>> เสือพูม่าเป็นสัตว์ในตระกูลสิงโตภูเขา คือ มีรูปร่างคล้ายสิงโต แต่ตัวผู้ไม่มีแผงขนรอบลำคอเหมือนสิงโตในแอฟริกา เจ้าพวกสิงโตภูเขานี้มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ บ้างก็เรียก เสือพูม่า บ้างเรียกเสือคูก้า หรือเสือดำ (panther) ซึ่งเราค่อนข้างคุ้นหูกว่า พวกมันอยู่ในตระกูลเดียวกับพวกแมวป่าและเสือขนาดเล็ก คนละกลุ่มกันกับตระกูลเสือใหญ่อย่างพวกสิงโตหรือเสือดาว

    เสือตระกูลนี้มีกล้ามเนื้อขาแข็งแรง ทำให้ปีนป่ายโขดหินชันได้ดีสมชื่อเสือภูเขา นับว่าเป็นสัตว์นำโชคที่เหมาะสมดีกับสินค้าที่นำเสนอความแข็งแรงและกระฉับกระเฉงว่องไว

 

ที่มา: http://pantip.com/topic/32084097

Credit: http://board.postjung.com/909613.html
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...