Sociable weaver หรือ social weaver bird ( ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Philetairus socius ) เป็นเจ้าของสุดยอด รังนก นี้ พวกมันเป็นนกทีพบในประเทศ บอตสวานา ( Botswana ) , นามิเบีย ( Namibia ) และอัฟริกาใต้ ( South africa ) นับว่าเป็น หนึ่งใน สิ่งมหัศจรรย์ ทางธรรมชาติ ที่สัตว์ตัวเล็กได้สร้างขึ้นมา
พฤติกรรม ธรรมชาติของนก Sociable weaver
ข้างล่างนี้เป็นภาพที่ถือว่าเป็นสุดยอด ของรังนก เลยดีเดียวแหละ
รูป รังนกนักสานรังสังคม ที่ทะเลทรายคาลาฮารี ( Kalahari desert ) ,
รูปบนไม่รู้ที่มา
Biggest spiders web จากแมงมุมนับ พันพันตัว แมงมุม 12 ชนิด ช่วยกันสร้างสุด
ยอด 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ใยแมงมุม ที่คลุมกว่า 180 เมตร ไปบนต้นไม้ พุ่มไม้ ซึ่งนับเป็น ใยแมงมุม ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา เนื่องจากปกติแมงมุมเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรม ที่จะต่อสู้กัน หรือกินพวกเดียวกันเอง และเป็นสัตว์สันโดษ และสร้างใยเป็นวงกลมของใครของมัน อย่างไรก็ตามก็มีข้อยกเว้น เมื่อเกิดเหตุฝนตก ทำให้เกิดมีแมลงที่เป็นเหยื่อ ของแมงมุมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากมาย (เป็นแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์) ทำให้แมงมุมเลือกที่จะร่วมกันสร้างใยแมงมุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดักจับแมลง
ใยแมงมุมนี้ถูกค้นพบโดยผู้ดูแล park Lake Tawakoni ใน เท็กซัส ( Texas ) ในช่วงแรกใยเป็นสีขาว แต่ต่อมากลายเป็นสีดำนันเนื่องมาจาก มีแมลงเป็นจำนวนมากไปติดใยแมงมุม
รูปนี้ จะสังเกตุได้ว่ามีใยแมงมุมสีขาว ปกคลุมตามกิ่งไม้ ใบไม้เต็มไปหมด
Ant colony รังมด ใหญ่ที่สุดในโลก นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการอัดน้ำปูนลงไปในรังมด มากถึง 10 ตัน โดยใช้เวลากว่า 1 เืดือน เพื่อให้โพรงด้านในถูกแทนที่ด้วยปูน แล้วดำเนินการขุดดินเพื่อดูโครงสร้างรังมดทั้งหมด ทำให้ค้นพบความจริง ที่นำไปสู่สุดยอดสิ่งก่อสร้าง ทางธรรมชาติ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ สัตว์โลก รังมดดังมีข้อมูลดังต่อไปนี้
รูปบน นาย Walter Tschinkel จากมหาวิทยาลัย Florida State University ได้ทำการหล่อปูนพลาสเตอร์ลงไปในรังมดเพื่อทำการศึกษา สถาปัตยกรรมของรังมด และพฤติกกรรมในการสร้างรัง
Termite mound หรือ จอมปลวก นับว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ สัตว์โลก เนื่องจากปลวก เป็นแมลงสังคม โดยมีศูนย์รวมทั้งหมดอยู่ที่นางพญาปลวก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปลวกทหาร ถึง 30 เท่า ทั้งยังสามารถวางไข่ถึง 30 ฟองต่อนาที และบรรดาแมลงตัวเล็กที่มีขนาดเพียง 1 เซ็นติเมตรเหล่านี้ เป็นเจ้าของสุดยอดสิ่งก่อสร้าง ที่เรียกว่า จอมปลวก
จอมปลวกนี้อยู่ที่ Litchfield National Park
เรื่องจริงที่ไม่น่าจริงเกี่ยวกับปลวก
ก๊าซมีิเทนที่ถูกปล่อย ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศของโลกนั้น 11% ปลวกเป็นผู้ปล่อยออกมาในขั้นตอนขบวนการย่อยของปลวก ซึ่งถือเป็นแหล่งมลพิษ อันดับสอง ในการปล่อยก๊าซมีเทน รอง จากแหล่งน้ำขัง ที่มีซากพืช และซากสัตว์ ข้อมูลจาก http://itech.dickinson.edu/chemistry/?cat=67 จอมปลวก สร้างจาก ดิน โคลน เซลลูโลสที่ได้จากการย่อยไม้ น้ำลายปลวก และมูลของปลวก
Beaver Dam เขื่อนจากฝีมือตัวบีเวอร์ ใหญ่ที่สุดในโลก นั้นได้มีการบันทึกว่ามีความยาวถึง 853 เมตร ( 2,800 ฟุต ) ค้นพบที่อุทยาน Wood Buffalo National Park บริเวณทางเหนือของ Alberta ประเทศแคนนาดา โดยเขื่อนบีเวอร์ ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ เกิดขึ้นจาก บีเวอร์สองครอบครัว ที่สร้างเขื่อน จากกิ่งไม้ เลน โคลน และมูลของตัวบีเวอร์ ขวางทางน้ำเพื่อปรับสภาพแวดล้อมโดยรอบให้เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เพื่อปกป้องรัง และเป็นแหล่งอาหารของพวกมัน เขื่อนนี้นับ ว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ที่สร้างโดยบีเวอร์
ตามรูป เป็นรูปจาก Google Earth ลูกศรใหญ่คือทิศทางน้ำไหลเข้าสู่เขื่อนของบีเวอร์ ส่วนที่เขียนว่า Beaver lodges ชี้ไปสองจุดเป็นตำแหน่งรังของบีเวอร์สองครอบครัว ที่ร่วมกันสร้างเขื่อนบีเวอร์ ใหญ่ที่สุดในโลก
รูปตัดขวางของรังบี เวอร์
Naked Mole Rats ตุ่นหนูไร้ขน เป็นสัตว์ไร้ขน มีผิวสีชมพู มีรอยเ***่ยวย่น
อยู่อาศัยใต้พื้นดิน โดยการขุดอุโมงค์โดยใช้ฟันหน้า คล้ายกับพวกตัวตุ่น และมีผิวหนัง หาง คล้าย หนู แต่นั้นเป็นเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น แต่ตามความเป็นจริงนั้น ตุ่นหนูไร้ขนนั้นเป็นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ เม่น ( Porcupin ) , กระรอก , หนูตะเภา ( guinea pig ) มากกว่าตุ่น หรือ หนู และสี่งที่ทำให้พวกมัน เป็นยอดนักขุด ก็เนื่องจาก อุโมงค์ใต้ดินอาดกินอาณาบริเวณมากถึง 6 สนามฟุตบอล พื้นใต้ดินจะถูกเชื่อมโยงด้วยโครงข่ายอุไมงค์ ภายในอุงโมงค์จะมีอุณหภูมิค่อนข้างคงที่อยู่ที่ 30 องศาเซลเซียส แบ่งได้เป็นหลายห้อง มีทั้งห้องเก็บอาหาร ห้องห้องนอน ห้องขับถ่าย ห้องเลี้ยงลูกอ่อนจะมีนางพญาอยู่ร่วมกับลูกอ่อน
การขุดอุโมงค์ พวกตุ่นหนูไร้ขน จะช่วยกันขุดอุโมงค์โดยเรียงตัวเป็นแถวยาวคล้ายสายพานลำเลียง โดยตัวหน้าสุดจะทำหน้าที่เป็นตัวขุด ส่วนที่สองจะทำหน้าที่ลำเลียงทรายออกไปโดยคุ้ยดินไปด้านหลังเรือย และตัวสุดท้ายจะทำหน้าที่สาดทรายขึ้นสู่ผิวดิน
ข้อมูลเฉพาะของเจ้าตัวตุ่น
ข้อมูล ที่ค้นหามาได้แต่ดูแล้วไม่น่าจะจริง ของตุ่นไร้ขน
กล้ามเนื้อประมาณ 25 % ของตุ่นหนูไร้ขนอยู่ที่ขากรรไกร นางพญาตุ่นหนูไร้ขน มีหัวนม 12 หัวนม สำหรับให้นมลูกได้มากถึง 27 ตัว ตุ่นหนูไร้ขน สามารถวิ่งเดินหน้า และถอยหลังได้ดีพอกัน ในอุโมงค์ที่พวกมันขุดขึ้น ชื่อตุ่นหนูไร้ขน คือ Bathyergidae มาจากภาษากรีซ คำว่า bathos แปลว่า ลึก ( depth ) คำว่า ergon แปลว่า นักขุด ( worker ) ตุ่นหนูไร้ขนสามารถ ขุดผ่านคอนกรีตได้ หลายพื้นที่ในอัฟริกาเรียกตุ่นหนูไร้ขนว่า ลูกหมาทราย ( Sand puppy ) พวกตุ่นหนูไร้ขน อาศัยกันเป็นกลุ่ม โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่นางพญาที่เป็นแม่ของทุกตัวในรัง และมีการแบ่งหน้าที่ ทำงานกัน คล้ายพวก มด และผึ่ง ภายในรังอาดมีตุ่นหนูไร้ขน 20 - 300 ตัว ทำไมพวกตุ่นหนูไร้ขน เนื่องจากพวกมันอาศัยอยู่ใต้ดินทั้งชีวิต ซึ่งช่วยให้ความอบอุ่นพวกมันในเวลากลางคืน และป้องกันความร้อนในเวลากลางวัน จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีขนเพื่อให้ความอบอุ่นร่างกาย หรือป้องกันแสงอาทิตย์ แต่พวกมันก็ไม่ถึงกับไร้ขนเสียทีเดียว พวกมันจะมีขนประมาณ 100 เส้นเพื่อไว้ใช้รับความรู้สึกรอบๆ ตัวพวกมัน ส่วนขนบริเวณนิ้วเท้านั้นมีไว้ช่วยกวาดดินขณะ ขุดอุโมงค์
รูปบนเป็นตุ่นหนูไร้ขนตัวใหญ่ตรงกลางเป็นนางพญา ส่วนโดยรอบเป็นลูกของมัน ส่วนรูปล่างเป็นรูป x-ray ตุ่นหนูไร้ขนตัวนางพญา ที่กำลังตั้งท้องแก่ใกล้คลอด
Caddisflies หรือ แมลงหนอนปลอกน้ำ เมื่ออยู่ในช่วงตัวอ่อน แมลงชนิดนี้จะอาศัย
อยู่ในน้ำ และสร้างปลอกขึ้นมาจากเศษ ทราย กรวด เปลือกหอย กิ่งไม้ ใบไม้ หรือสิ่งอื่นใดที่มีขนาดเล็ก ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่ อย่างสวยงาม แมลงหนอนปลอกน้ำ เป็นแมลงในวงศ์ Trichoptera ( เป็นคำจากภาษากรีต โดยคำว่า trich มาจากคำว่า เส้นผม และ ptera มาจากคำว่า ปีก ) แมลงหนอนปลอกน้ำ เป็นผีเสื้อราตรีขนาดเล็ก มีปีกใสบาง สองคู่ ตัวอ่อนจะอาศัยอยู่ในน้ำจืดที่ค่อนข้างสะอาด มีออกซิเจนสูง
แปลกๆกับแมลงหนอน ปลอกน้ำ
ภาพชุดนี้ำเป็นผลงานของศิลปินชาวฝรั่งเศล ชื่อว่า Herbert Duprat ได้สร้างผลงานศิลปะชุดนี้โดยใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมของ แมลงหนอนปลอกน้ำ ที่จะสร้างปลอกจากเศษวัสดุ เพื่อเป็นเกราะป้องกันร่างกาย โดยน้ำเศษทองคำ ไข่มุก หินมีค่าใส่ลงไปแทน แมลงหนอนปลอกน้ำก็จะนำมาสร้างงานศิลปดังรูป
ไรขนตา ( Eyelash Mites ) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจำพวกปรสิต พวกมันมีอยู่ประมาณ 65 สายพันธ์ แต่มีอยู่เพียง 2 สายพันธ์ที่อาศัยอยู่กับมนุษย์คือ Demodex folliculorum และ Demodex brevis ทั้งคู่ถูกเรียกรวมๆ กันว่า ไรขนตา ( Eyelash Mites ) สำหรับตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ 0.3-0.4 มิลลิเมตร ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ และสายพันธ์ brevis จะมีขนาดเล็กกว่าสายพันธ์ folliculorum มีลักษณะร่างกายกึ่งโปร่งใส ลำตัวยาว ประกอบไปด้วยสองส่วน คือส่วนบนเป็นส่วนที่มีขาสั้นๆ แปดขา
ไรขนตา จะเห็นว่าเมื่อส่องด้วยกล้องจุลทรรศย์จะมีร่างกายกึ่งโปร่งแสง รูปซ้ายถ่ายบริเวณหลังของไรขนตาา และรูปกลางถ่ายด้านท้องจะเห็นส่วนบนมีขาเล็กๆ 8 ขา และรูซ้ายจะเห็นได้จัดเจนว่าลำตัวสามารถให้แสงผ่านได้
มีปากเหมือน เข็มที่ไว้สำหรับกินเซลผิวหนัง น้ำมันส่วนที่สองเป็นส่วนลำตัวที่จะฝังอยู่ในรูขุมขน (ขนตา , ผม , ขนเพชร) พวกมันสามารถเคลื่นอที่โดยการเดินไปตามผิวหนังอย่างช้าด้วยความเร็วประมาณ 8-16 เซ็นติเมตรต่อชั่วโมงในเวลากลางคืน เนื่องจากพวกมันไม่ชอบแสง วงจรชีวิตของไรขนตามมีอายุประมาณไม่ถึงเดือน เมื่อตัวผู้มาพบตัวเมียก็จะผสมพันธ์กัน และออกไข่ไว้ในรัง ( รูขุมขน ) อีก 3-4 วันก็จะฟักเป็นตัว และใช้เวลาอีกประมาณ 7 วันก็จะเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ และเมื่อพวกมันตายลงก็จะใช้รูขุมขนเป็นหลุมฝังศพของพวกมัน มนุษย์ผู้ใหญ่ร้อยละ 95-98 มีไรขนตาอยู่บนร่างกาย แต่เด็กจะมีน้อยกว่าเนื่องจากมีน้ำมันที่ขับออกตามรูขุมขนน้อยกว่า ไรขนตาสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสบริเวณ ขน ผม ต่าง ไรขนตาอาดก็ปัญหาให้เกิดอาการคันเล็กน้อย ไม่มีอันตรายร้ายแรง
ไรชนิดอื่นๆ
ตัวหิด ( Scabies Mites ) คือ ตัวไร (mite) ชนิดหนึ่ง เป็นปรสิต (สัตว์ตัวเล็กๆ ที่อาศัยในร่างกายคน) ที่อาศัยอยู่ใต้หนังกำพร้า มีขนาดประมาณ 0.4 มิลลิเมตร มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เมื่อหิดโตเต็มวัยจะผสมพันธุ์กันบนผิวหนัง แล้วตัวผู้จะตาย ส่วนตัวเมียเจาะอุโมงค์ในชั้นหนังกำพร้าวันละ 2-3 มิลลิเมตรในตอนกลางคืน เพื่อวางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง จนถึง 10-25 ฟองในตอนกลางวัน (ตามรูปจะเ็ป็นตัวหิด และพื้นหลังสีเหลือง คือผิวหนังมนุษย์
ไรฝุ่น เป็นไรที่ไม่ได้อาศัยอยู่บนตัวของมนุษย์ แต่ไรฝุ่นกิน เศษผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออกมาตามพื้น ร่างกายของมนุษย์มีชิ้นส่วนเล็กเหล่านี้หลุดออกมาเป็นจำนวนมากตลอดเวลา และสะสมอยู่ตามซอก ที่นอนเป็นจำนวนมาก ไร ฝุ่นจะใช้ก้ามเล็กเก็บกินเป็นอาหาร ตัวไรฝุ่นเองไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่ของเสียที่มันปล่อยออกมันและลอยอยู่ในบ้าน เมื่อสูดดมเข้าไปจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคหืด หอบ
รูปบนเป็นภาพถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์ให้เห็นหน้ากัน จะๆ และรูปล่างก็หงายท้องดูขากันจะๆ
รูปนี้แสดงให้เห็นถึงว่าไรขนตา อัดกันอยู่ในรูขุมขน 8 ตัวต่อหนึ่งรูขุมขน
บทความนี้คัดลอกจาก
(หนอน ปลอกน้ำ)
http://webecoist.com/2009/01/04/7-architectural-wonders-of-the-natural-world/
http://www.elisidman.com/nature_of_neptune/2008/09/herbert-duprat.html
(นกสานรังสังคม)
http://webecoist.com/2009/01/04/7-architectural-wonders-of-the-natural-world/
http://en.wikipedia.org/wiki/Sociable_Weaver
http://www.south-africa-tours-and-travel.com/kgalagadi.html http://karoospace.co.za/karoo/content/view/177/46/
(รัง มดขนาดใหญ่)
http://www.inquisitr.com/14238/holy-crap-billions-of-ants-in-one-colony/ http://thinkorthwim.com/index.php?tag=insects
(รังแมงมุมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก)
http://haha.nu/misc/the-worlds-biggest-web/ http://webecoist.com/2009/01/04/7-architectural-wonders-of-the-natural-world/
(จอม ปลวก)
http://www.entomon.net/termite-termite-like-ant-infestations.htm http://www.airninja.com/pictures/outback/giant-termite-mound.htm
(เขื่อนยักษ์ตัวบีเวอร์)
http://webecoist.com/2009/01/04/7-architectural-wonders-of-the-natural-world/
http://en.wikipedia.org/wiki/Beaver