http://www.addictblue.com/5-unethical-psychology-experiment/
นี่คือ 5 การทดลองทางจิตวิทยาที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์
จิตใจของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ล้ำลึกและยากแท้หยั่งถึงเป็นที่สุด ไม่สามารถวัดออกมาได้เป็นตัวเลข ไม่มีอะไรแน่นอน และแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถวิเคราะห์จิตใจของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่มนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะมีอะไรเหมือนกันบ้าง จิตใจก็เช่นกัน
นักจิตวิทยาพยายามที่จะทำความเข้าใจมนุษย์เรามากว่าหลายทศวรรษแล้ว บางครั้งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ บางครั้งล้มเหลวไม่เป็นท่า และบางครั้งมันก็น่ากลัวจนเกินจะรับไหว และนี่คือ 5 การทดลองทางจิตวิทยาที่น่ากลัวเป็นอันดับต้นๆในประวัติศาสตร์ การทดลองเหล่านี้เป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างถึงความไม่เหมาะสมและบางการทดลองนั้นดูจะท้าทายสิ่งที่เรียกว่า “ศีลธรรม” เป็นอย่างมากเลยล่ะครับ
The Monster Study
Wendell Johnson
การทดลองนี้เกิดขึ้นในปี 1939 ที่มหาวิทยาลัยไอโอวา ดำเนินการโดย Wendell Johnson ซึ่ง Johnson ได้ใช้นักเรียนของเขานั่นคือ Mary Tudor มารับช่วงต่ออีกทีโดยที่ตัวเขาเองเป็นคนดูแล ซึ่งการทดลองนี้มีความต้องการที่จะหาคำตอบของอาการติดอ่าง
การทดลองนี้ดำเนินการโดยให้เด็กกำพร้า 22 คน แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มควบคุมและอีกครี่งหนึ่งเป็นกลุ่มทดลอง เด็กกลุ่มแรกซึ่งเป็นกลุ่มควบคุมนั้นจะได้รับคำชมและได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพ และเด็กอีกกลุ่มนึงจะได้รับการปฏิบัติที่ตรงกันข้ามนั่นคือการด่า ทับถม ดูถูก และบอกเด็กเหล่านั้นว่าพวกเขาจะต้องติดอ่างในอนาคต ซึ่งเมื่อการทดลองดำเนินไปก็เกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เนื่องจากเด็กที่ถูกด่า ถูกทับถมนั้นได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ สุขภาพจิตย่ำแย่ บางคนมีปัญหากับการพูดไปตลอดชีวิต มันจึงถูกขนานนามว่าเป็น The Monster Study และในปี 2007 เด็กกำพร้าหกคนจากการทดลอง ได้รับค่าชดเชยเป็นจำนวน 925,000 ดอลลาร์เนื่องจากได้รับความเสียหายจากการทดลองครั้งนี้ แต่มันคุ้มกันหรือเปล่าล่ะ?
The Well of Despair
Harry Harlow
Harry Harlow ต้องการที่จะทดสอบผลกระทบของความโดดเดี่ยว แต่วิธีทดสอบของเขาเรียกได้ว่าท้าทายศีลธรรมเป็นอย่างมาก เขาพรากลูกลิงมาจากแม่ของมันให้มาอยู่ในกรงที่ไม่มีอะไรเลยเป็นเวลาหลายเดือน จนถึงเป็นปี โดยไม่ให้มีปฏิสัมพันธ์กับลิงตัวอื่นๆเลยแม้แต่น้อย ซึ่งผลลัพธ์ก็คือลูกลิงเหล่านั้นกลายเป็นลิงโรคจิตที่ตายด้านต่ออารมณ์อย่างสิ้นเชิง พวกมันได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างถาวร ไม่สามารถเข้ากับลิงตัวอื่นๆได้เลย และแน่นอนว่าการทดลองนี้นำไปสู่การวิพากษ์วิจารย์อย่างหนักเลยล่ะครับ
The Milgram Experiment
Stanley Milgram
การทดลองนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากความสงสัยว่าคนๆหนึ่งเมื่อได้รับคำสั่งมาแล้วจะทำตามหรือไม่แม้ว่าคำสั่งนั้นจะเป็นคำสั่งที่ต้องทำร้ายผู้อื่น ซึ่งผลการทดลองจะถูกนำมาอธิบายเกี่ยวกับความคิดของทหารในค่ายนรกของนาซีที่เอาไว้ขังชาวยิวได้เป็นอย่างดี อาสาสมัครเพศชายที่มีอายุระหว่าง 20-50 ปี ที่มีอาชีพทั่วไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญจำนวน 40 คน ได้ถูกพามายังห้องๆหนึ่ง ซึ่งในห้องนั้นจะมีคนคุมหนึ่งคนและแผงควบคุมเครื่องช็อตไฟฟ้า โดยอาสาสมัครทุกคนจะได้รับบทเป็นอาจารย์ที่ควบคุมเครื่องช็อตไฟฟ้านี้ ถ้าหากนักเรียนซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่งตอบคำถามผิด อาจารย์ก็มีหน้าที่กดปุ่มช็อตไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้าจะแรงขึ้น 15 โวลต์ทุกครั้งที่นักเรียนตอบผิด การทดลองจะจบลงเมื่อกระแสไฟฟ้าพุ่งสูงไปถึง 450 โวลต์ (นั่นคือตัวเลขที่ทำให้ตายได้) ทุกครั้งที่นักเรียนโดนช็อตก็จะมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา ยิ่งกระแสไฟแรงแน่นอนว่าเสียงร้องมันยิ่งโหยหวนมากยิ่งขึ้น และอาจารย์ที่เป็นผู้ทำให้เกิดเสียงร้องนั้นก็จะเป็นกังวลมากขึ้นทุกครั้งที่กด แต่ทุกครั้งที่เขาหันไปถามผู้คุมซึ่งยืนประจำอยู่ในห้อง ก็จะได้รับคำตอบมาว่า “โปรดทำต่อไป”, “การทดลองต้องการให้คุณดำเนินต่อ”, “คุณไม่มีทางเลือก คุณต้องทำต่อไป”, และคำตอบที่น่าจะทำให้อาจารย์ทำต่อไปได้โดยมีความกังวลน้อยลงก็คือ “ผมจะรับผิดชอบเอง” ผลลัพธ์จากการทดลองนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าอาจารย์ทุกคนนั้นไม่สบายใจที่จะทำ แต่ไม่มีใครที่หยุดช็อตก่อนถึง 300 โวลต์เลย และ 25 จาก 40 คนทำต่อไปจนการทดลองเสร็จสมบูรณ์ นั่นคือช็อตไปจนถึงระดับ 450 โวลต์หรือทำให้นักเรียนตายได้นั่นเอง
แน่นอนครับว่านักเรียนนั้นไม่ได้มีอยู่จริง ไม่ใช่คนจริงๆ เป็นเพียงเสียงจากเทปที่ถูกบันทึกเอาไว้ซึ่งทุกครั้งที่มีการเพิ่มกระแสไฟฟ้า เสียงในเทปก็จะมีความเจ็บปวดมากขึ้นตามไปด้วย มีตั้งแต่เสียงร้องธรรมดา กรีดร้อง พร่ำพรรณนาว่าตัวเขาเป็นโรคหัวใจ อ้อนวอนให้ปล่อยเขาไปเถอะ กรีดร้องและขอให้ปล่อยอย่างบ้าคลั่ง และสุดท้ายคือเงียบ (ตาย)
ซึ่งตัวเลขที่พวกเขาคาดเดาไว้ว่าจะมีประมาณ 1-3% ที่จะช็อตต่อจนจบนั้นดูน่ารักไปเลย เมื่อความจริงมีคนถึง 65% ที่ยอมทำตามคำสั่งจนจบ
Stanford Prison Experiment
Philip Zimbardo
Philip Zimbardo มีความต้องการที่จะรู้ว่าผู้คุมนักโทษในอเมริกานั้นเป็นพวกที่มีบุคลิกชื่นชอบความรุนแรงอยู่แล้วหรือสภาพแวดล้อมในคุกนั้นส่งผลให้พวกเขากลายเป็นคนชอบความรุนแรง หรือจะให้พูดง่ายๆก็คือ Zimbardo อยากทดสอบว่าคนปกติธรรมดาทั่วไปนั้นจะกลายเป็นคนเลวได้หรือเปล่าถ้าหากสภาพแวดล้อมมันพาไป การทดลองนี้จะแบ่งอาสาสมัครออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะรับบทเป็นผู้คุม และอีกกลุ่มจะรับบทเป็นนักโทษ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างสมจริงสมจัง เริ่มตั้งแต่การไปจับตัวนักโทษถึงที่บ้าน จับมาตรวจร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า เรียกแทนตัวนักโทษด้วยหมายเลขประจำตัว การไปไหนมาไหนในเรือนจำต้องขออนุญาตผู้คุม นักโทษต้องอยู่ในเรือนจำตลอด 24 ชั่วโมง ในขณะที่ผู้คุมสามารถกลับบ้านในเวลาเลิกงานได้ และในระหว่างการทดลองมีกฎเหล็กอยู่ข้อหนึ่งก็คือ “ห้ามใช้ความรุนแรง”
ห้ามใช้ความรุนแรง แต่ผู้คุมก็จำเป็นต้องคุมนักโทษ ทำให้เหล่าผู้คุมต้องเลือกวิธีอื่นๆแทน ซึ่งวิธีที่ว่าก็คือการหยามเกียรตินักโทษนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการสั่งให้ถอดเสื้อ ทำความสะอาดส้วมด้วยมือเปล่า สั่งให้วิดพื้น ทำให้นักโทษระแวงกันเอง และอีกมากมายสารพัด จนในท้ายที่สุดการทดลองต้องหยุดลงในวันที่ 6 จากกำหนดการจริงที่ควรใช้เวลา 14 วัน เนื่องจากทั้งนักโทษและผู้คุ้มอินกับบทบาทจนเกินไป และการทดลองนี้ก็บอกให้เราได้รู้ว่า สภาพแวดล้อมนั้นมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของเรามากจนน่ากลัวเลยทีเดียว
และนี่คือหนังที่สร้างจากการทดลองนี้
David Reimer
John Money
Brain Reimen และ Bruce Reimen เป็นพี่น้องฝาแฝดที่เกิดเมื่อปี 1965 เมื่ออายุได้ 8 เดือน ทั้งสองมีปัญหาเล็กน้อยเกี่ยวกับอวัยวะเพศของพวกเขา และหมอตัดสินใจจะรักษาด้วยการขลิบ แต่เนื่องจากหมอดันใช้วิธีที่ใหม่ (และยังไม่เป็นที่ยอมรับ) ในการขลิบ นั่นคือการใช้ไฟจี้ให้ไหม้ ซึ่งด้วยวิธีอันแปลกประหลาดนี้ทำให้อวัยวะเพศของ Bruce นั้นเสียหายจนไม่สามารถแก้กลับคืนได้ ในระหว่างที่พ่อแม่ของเขากำลังกลุ้มใจอยู่นั้นก็ได้ไปเจอกับ John Money ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาที่เชื่อว่าคนจะเป็นเพศอะไรนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดู และเชื่อว่าสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลมากกว่าเพศที่ธรรมชาติเลือกสรรมา ดังนั้นเมื่อพ่อแม่ของพี่น้องฝาแฝดเข้ามาขอคำปรึกษา ก็เข้าทางเลยล่ะครับ เพราะเขาจะได้พิสูจน์ทฤษฏีที่เขาคิดค้นขึ้นมาด้วย และด้วยคำแนะนำของนักจิตวิทยาผู้นี้ก็ทำให้ Bruce ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Brenda ถูกปฏิบัติทุกอย่างเหมือนกันเด็กผู้หญิง เลี้ยงดูอย่างเด็กผู้หญิง ซ้ำยังถูกผ่าตัดเอาอัณฑะออก และฉีดฮอร์โมนเพศหญิงเข้าไป เรียกได้ว่าเปลี่ยนทั้งภายนอกภายในเลยก็ว่าได้ ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงนี้ Money ก็ได้รายงานถึงผลสำเร็จของการทดลองและสนับสนุนแนวคิดของเขาสู่สาธารณะชนไปเรื่อยๆ และละเลยที่จะรายงานถึงสภาพจิตใจของ Brenda ที่สับสนกับชีวิต เธอบอกกับคนในครอบครัวว่าเธอไม่คิดว่าเธอเป็นผู้หญิง อีกทั้งยังเป็นโรคซึมเศร้าอย่างหนักจนอยากจะฆ่าตัวตาย แต่พ่อแม่ของเธอนั้นถูกกำชับว่าห้ามบอกความจริงกับเธอเด็ดขาด ในท้ายที่สุดเมื่อ Brenda อายุได้ 14 ปี เธอก็ได้รู้ความจริง และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น David และหยุดการฉีดฮอร์โมนและทุกๆอย่างที่พยายามทำให้ตัวเขาเป็นหญิงจนหมดสิ้น และได้แต่งงานกับ Jane Fontaine พร้อมกับเป็นพ่อบุญธรรมเลี้ยงลูกติดของภรรยาอีก 3 คน แต่ชีวิตเขาก็ไม่ได้ราบรื่นมากนัก ครอบครัวมีปัญหา Brain แฝดของเขาก็เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด และเขายังตกงานอีกด้วย สุดท้ายภรรยาของเขาก็ขอแยกทางเนื่องจากปัญหาต่างๆทั้งภายนอกภายใจ และ David Reimer ได้ฆ่าตัวตายในเช้าวันที่ 5 พฤษภาคม ปี 2004 ขณะมีอายุได้ 38 ปี
ที่มา : listverse, explorable, cropwit, wikipedia, dek-d, isna.org