เดือนตุลาคม 2007 ณ ฐานทัพอันโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของอังกฤษ บุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยนักวิทยาศาสตร์และนายทหารระดับสูง ต่างเฝ้าจับตามองไกลไปที่เส้นขอบฟ้า รถถังยานเกราะคันหนึ่งได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาทุกคู่ และแล้วในฉับพลันทันใด ยานรบน้ำหนัก 60 ตัน
คันนี้ก็อันตรธานหายวับไป
รถถังแชลเลนเจอร์ (Challenger Tank) นั้นลำมหึมาเกือบเท่าบ้านหลังเล็กๆ ความยาวของมันร่วม 10 เมตร จากปลายลำกล้องปืนถึงบั้นท้าย แล้วมันล่องหนไปอย่างน่าอัศจรรย์ได้ยังไง?
และถ้าสิ่งนี้เป็นจริง กองทัพที่สามารถทำให้ หน่วยทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ กำบังตนได้จากสายตาข้าศึก ย่อมจะได้เปรียบในการรบอย่างมหาศาล แน่นอน
หาก แต่ปฏิบัติการทดลองครั้งนี้มิได้เสกให้รถถังล่องหนหายวับได้ เพียงแต่อาศัยเทคนิคในการพรางตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบด้าน นั่นคือเริ่มต้น ด้วยการฉาบซิลิโคน (Silicone) ทั่วตัวถังยานเกราะ แชลเลนเจอร์ ทำให้มันมีสภาพเหมือนจอภาพยนตร์ที่สะท้อนแสงได้ดี ส่วนภายในก็ติดตั้งอุปกรณ์การฉายภาพซึ่งประกอบด้วยโปรเจคเตอร์ (Projector) กระจกเงา แผ่นสะท้อนแสง และที่สำคัญคือกล้องวีดิโอ (Video Camera) ซึ่งจะถ่ายภาพสิ่งแวดล้อม รอบตัวที่เป็นอยู่จริงๆในขณะนั้น แล้วฉายขึ้นบนตัวถังที่เปรียบเสมือนจอ ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของผู้สังเกตการณ์ก็คือทิวทัศน์บนตัวรถถังที่กลมกลืนไป กับสิ่งแวดล้อมนั่นเอง
เทคนิค นี้ว่าไปแล้วก็เอาไอเดียมาจากสัตว์ที่พรางตัวให้รอดพ้นจากสายตาของผู้ล่า นั่นแหละ
การ "เห็น" หรือ "ไม่เห็น" นั้นขึ้นอยู่กับทฤษฎีของแสงที่ว่าทุกวินาทีนั้นตัวเราถูกระดมยิง (Bombardment) ด้วยลำแสง (beam) นานาชนิด ตั้งแต่รังสีที่แผ่จากดวงอาทิตย์ แสงจาก
หลอดไฟต่างๆ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electro-magnatic) จากสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งการที่เรามองเห็นได้ก็เพราะแสงเหล่านี้เดินทางไปกระทบวัตถุแล้วสะท้อน กลับมาเข้าตาเรา ดังนั้น วิธีการหนึ่งที่จะทำให้ "มองไม่เห็น" ก็คือ การทำให้แสงเบี่ยงเบนหักเหไปทางอื่น หรืออ้อมหลบจากวัตถุนั้น
หากทว่ายังไม่ เคยมีใครค้นวิธีการเช่นว่านี้ได้
ในช่วงปี 1943 ที่สงครามโลกเข้าขั้นรุนแรง เพียงแค่ห้าเดือนแรกของปีนี้ เรือสินค้าของสัมพันธ-มิตรถูกเยอรมันทำลายด้วยเรือบิน, ทุ่นระเบิด และตอร์ปิโดจากเรือดำน้ำ จมลงสู่ก้นสมุทรแอตแลนติกเหนือถึงกว่า 250 ลำ เรียกเป็นสุสานเรือสินค้าก็ว่าได้ ทางนาวีสหรัฐฯจึงคิดอ่านหาวิธีแก้ไข
อัล เบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยเขียนทฤษฎีว่าด้วยการทำให้เรือ "หายตัว" รอดพ้นจากการตรวจพบของเรดาร์และตอร์ปิโด หากทว่าเขาเองไปทุ่มเทให้กับการคิดค้นระเบิดปรมาณู ทฤษฎีนี้จึงยังไม่มีการทดลองให้มีผลจริงจัง
เรือ เดินสมุทรนั้นเป็นเหล็ก จึงดึงดูดทุ่นระเบิดและตอร์ปิโดที่เป็นแม่เหล็ก ดังนั้น ถ้าหากวางสายเคเบิลไฟฟ้าทั่วลำเรือ เมื่อปล่อยกระแสไฟก็จะสร้างขั้วแม่เหล็กที่ผลักดันขั้วแม่เหล็กของทุ่น ระเบิดและตอร์ปิโดได้ ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯจึงทำการทดลองโครงการ "ฟิลาเดลเฟีย" (Philadetphia Ex-periment) โดยสร้างเรือลำเลียงยูเอสเอส เอลดริดจ์ เดอ 173 (USS Eldridge DE 173) และปล่อยลงน้ำใน วันที่ 25 กรกฎาคม 1943 โดยมีเป้าหมายใช้ขนส่งผู้คนและสิ่งของไปยังแอฟริกาเหนือ
เรือ เอลดริดจ์มีความยาวไล่เลี่ยกับสนามฟุตบอล หลังจาก "ห่อหุ้ม" ทั้งลำด้วย "ขดลวดไฟฟ้า" เรียบร้อย แล้ว ก็จอดพักอยู่ที่ท่าเรือเมืองฟิลาเดลเฟีย รอการทดสอบขั้นสุดท้ายก่อนออกปฏิบัติงาน
ห้าโมงเย็นของวันที่ 28 ตุลาคม 1943 แม้จะผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบ ทว่าก็ยังมีหลายสิ่งที่คณะผู้สร้างยังไม่อาจล่วงรู้ได้ พอเปิดสวิตช์เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น มีหมอกควันสีเขียวกระจายฟุ้งปกคลุมทั่วลำเรือ หลังจากหมอกควันจางหายไป เรือเอลดริดจ์ก็อันตรธานไปจากสายตาผู้สังเกตการณ์ด้วย!
ผู้ควบคุม สั่งปิดสวิตช์และเรือเอลดริดจ์ก็กลับคืนสู่สภาพเดิมท่ามกลางกลุ่มหมอกควันสี เขียวดั่งเช่นที่เกิดขึ้นในตอนสับสวิตช์ แต่ตำแหน่งของการกลับมานั้นอยู่ห่างจากที่เดิมไปนับร้อยไมล์!
สิ่ง ที่นาวีสหรัฐฯต้องตระหนกก็คือ ลูกเรือบางส่วนหายไป บางส่วนเกิดอาการเสียสติและวิกลจริตในที่สุด สองสามคนฝังจมอยู่ในโลหะของลำเรือ แขนข้างหนึ่งของลูกเรือคนหนึ่งฝังติดอยู่ในหัวเรือ
ทางการสหรัฐฯสั่งยุติการ ทดลองนี้ทันที และไม่มีบันทึกรายงานผลการทดลองนี้ปรากฏออกมาให้สาธารณชนได้รู้เห็นเลย
สิ่ง หนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์แห่งอนาคตสนใจก็คือวัสดุที่เรียกว่า เมตา-แมทีเรียล (Meta-Material) มีคุณสมบัติในการเบี่ยงเบนแสงให้อ้อมวัตถุ เมื่อใช้วัสดุนี้หุ้มวัตถุก็เปรียบเสมือนเป็นเสื้อคลุมล่องหน ไม่มีใครมองเห็นวัตถุนั้นได้
ปี 2006 ดร.เดวิด สมิธ (David Smith) แห่งมหาลัยดุ๊ค, นอร์ทแคโรไลนา ก็ทำให้โลกตะลึงเมื่อเขาประกาศว่าสามารถสร้างวัสดุเมตา-แมทีเรียล ได้สำเร็จแล้ว!
ทั้งนี้ ดร.สมิธได้นำสารชนิดต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันจนมีลักษณะคล้ายแผ่นวงจรไฟฟ้า และมีคุณสมบัติต้านแม้เหล็กไฟฟ้าที่แตกต่างไปจากวัสดุอื่นที่เคยมีบนพื้น พิภพ โดยเขาได้ใช้แผ่นไฟเบอร์กลาสเป็นฐาน จากนั้นก็นำเอาแผ่นทองแดง บางๆที่มีรูปแบบเป็นวงแหวนวงจรไฟฟ้าขนาดเล็กมาทาบทับบนไฟเบอร์กลาส สิ่งที่ได้ก็คือแผ่นเส้นสายใยที่ไม่เคยได้เห็นกันมาก่อน สมิธ กล่าวว่า วัตถุใดก็ตามที่แฝงอยู่ภายในเส้นสายใยนี้จะรอดพ้นจากรังสีต่างๆ รวมทั้งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือในการทดลองของเขาก็คือ คลื่นไมโครเวฟ
แผ่น วงจรเมตาแมทีเรียลนี้แม้ตัวของมันเองจะไม่ล่องหน แต่เมื่อมันสามารถเบี่ยงเบนไมโครเวฟได้ มันก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่การล่องหนหายตัวในอนาคต สมิธตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2035 อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆของกองทัพ อาทิ รถถัง เครื่องบินรบ จรวด ฯลฯ จะถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมเมตาแมทีเรียล และทำให้มันเป็นยานรบที่เรดาร์ไม่อาจจับได้ ตลอดจนแม้ดาวเทียมจารกรรมก็ไม่สามารถตรวจ ค้นหาพบเช่นกัน กระนั้นก็ยังไม่ถือว่าล่องหนโดยสมบูรณ์ เพราะหลบได้แต่เรดาร์ หากทว่าสายตามนุษย์ก็ยังมองเห็นอยู่ดี