เรื่องเล่า ไม่ควรเล่า : ชั้น 3 ห้องสุดท้าย (จากพันทิป)
โดยสมาชิกพันทิปคุณ วิทยากร ร่อนเร่
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี่เอง ผมได้ฟังจากน้องที่ทำงานด้วยกันไปเจอมา ดีที่ว่าน้องคนนี้เป็นคนไม่กลัวผี
หลังจากที่น้องคนนี้ได้นำเรื่องมาเล่าในที่ทำงาน เพื่อนพี่น้องคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์เคยพักในสถานที่แห่งนี้ก็แบ่งปันประสบการณ์ของตนเองอีกหลายคน
ผมมั่นใจว่าที่นี่มีประวัติจริงๆ ไม่งั้นไม่ "โดน" กันมาหลายคน ....
ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาจากเค้าโครงของเรื่องจริง !!!! โดยเขียนเป็นเรื่องสั้นตามสไตล์การเขียนของผม
หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าที่น้องเค้าเจอมาจริงๆ นั้นเค้าเจออะไรบ้าง....
...
...
ขอเชิญทุกท่าน หาความสำราญได้จาก เรื่องเล่า ไม่ควรเล่า ตอน ชั้น 3 ห้องสุดท้าย ได้ ณ บัด นี้ ....!!!
เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : ชั้น 3 ห้องสุดท้าย (ตอน 1)
‘คุณอย่าไปพักที่นี่นะ เชื่อผม’
‘ถ้าผมเลือกได้ผมไม่พักที่นี่หรอกพี่’
‘เคยมีคนพูดให้ฟังหลายคนแล้ว แค่นึกก็ขนลุก...’
คำพูดของเพื่อนร่วมงานที่พูดให้ฟังก่อนออกเดินทางดังแว่วเข้ามาในสมอง ในขณะที่ผมยืนถือกระเป๋าอยู่หน้าสถานที่แห่งนั้น มันเป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น
ก็มันเลือกไม่ได้นี่หว่า ใครจะรู้ว่าวันนี้มันมีงานกีฬาแห่งชาติที่จังหวัดน่านเป็นเจ้าภาพ ทำให้ที่พักในตัวจังหวัดเต็มหมดทุกที่ แล้วงานของผมก็เลื่อนไม่ได้เสียด้วยต้องมาบรรยายช่วงนี้พอดี ความจริงผมเคยมาทำงานที่จังหวัดนี้หลายครั้งแต่ก็ยังไม่เคยเข้าพักที่นี่เลย
ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เดินหิ้วกระเป๋าก้มหน้าเข้าโรงแรม ที่นี่เป็นโรงแรมใหญ่เก่าแก่ประจำจังหวัดตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ในตัวเมือง การเดินทางสะดวกสบาย หาของกินง่าย ดูแล้วก็โอ่โถงดีเหมือนกัน แต่ก็แปลกที่โรงแรมนี้ยังไม่เต็มตอนที่ผมติดต่อจองห้องพัก แต่ก็คงไม่แปลกที่ไม่เต็มถ้าเรื่องที่เขาเล่าๆต่อกันมาเป็นเรื่องจริง ...!!!
‘เอาน่า...พักแค่คืนเดียวพรุ่งนี้ก็กลับแล้ว’
ผมให้กำลังใจตัวเอง หลังรับกุญแจห้องพักที่เคาท์เตอร์ มองที่พวงกุญแจเห็นเลขห้อง 313 !!!
“น้อง มีห้องอื่นอีกหรือเปล่า”
“เหลือห้องนี้ห้องเดียวแล้วค่ะ แขกเข้าพักเต็มหมดแล้วค่ะ”
ผมไม่พูดอะไรต่อเดินขึ้นห้องพักทันที
‘ยังไงคืนนี้ก็มีเพื่อนพักกันเต็มโรงแรมหละวะ’ ผมนึกปลอบใจตัวเองระหว่างเดินเข้าลิฟท์ขึ้นห้องพัก
พวกเพื่อนๆ ที่บริษัทไม่น่าเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่นี่ให้เราฟังเล๊ยยย ไม่รู้เรื่องที่พูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า หรือว่าหลอกให้เรากลัว ไอ้เรื่องที่พูดน่ะจริงไม่จริงไม่รู้ แต่ตอนนี้กลัวตามที่เค้าตั้งเป้าหมายไว้แล้วหละ ทั้งที่ปรกติผมก็ไม่ใช่คนกลัวอะไรมากมาย
ลิฟท์เปิดที่ชั้น 3 เดินไปทางซ้ายของตัวตึก ห้องพักของผมอยู่ริมสุดทางเดินติดบันไดหนีไฟ ทั้งชั้นเงียบกริบ เหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ มีเพียงเสียงเท้าที่ก้าวเดินของผม และเสียงของกุญแจห้องพักที่แกว่งกระทบกับกระเป๋า notebook ตามจังหวะของการเดินเท่านั้น
เมื่อถึงหน้าห้อง ก่อนไขกุญแจเข้าไปผมมองสำรวจบริเวณประตูโดยรอบ ไม่มีผ้ายันต์ ไม่มีสายสิญจน์ ไม่มีรอยเจิมใดๆทั้งสิ้น ฮ่า..สบายใจไปเปราะนึงแล้ว...ผมไขกุญแจเข้าห้องพัก ทุกอย่างในห้องก็เหมือนห้องพักของโรงแรมทั่วๆไป ไม่มีอะไรผิดปรกติ ภายในห้องถูกทำความสะอาดไว้อย่างดีเพื่อรอต้อนรับผู้เข้าพัก ผมถอดรองรองเท้าไว้หน้าตู้เสื้อผ้า วางกระเป๋า เดินไปเปิดทีวี แล้วนั่งที่ปลายเตียง เมื่อสัญญาณภาพของทีวีติดขึ้นผมก็เอนหลังนอนแผ่บนเตียงโดยที่ขาทั้งสองข้างยังห้อยอยู่ที่ปลายเตียง ดูทีวีไปไม่ถึงห้านาที ก็เริ่มได้กลิ่นแปลกๆ เป็นกลิ่นเหม็นเหมือนซากหนูตาย ฉุนๆสาบสางปนอับทึบเหมือนตายมานาน จากกลิ่นที่ลอยมาจางๆ ในช่วงแรก เป็นแรงขึ้น แรงขึ้น จนผมทนไม่ไหวลุกขึ้นจากเตียง เปิดดูในตู้เสื้อผ้า ในห้องน้ำ ใต้เตียง หลังโต๊ะวางทีวี ไม่เจอต้นเหตุของกลิ่น กลิ่นนั้นยังไม่ทันหายไป และก่อนที่ผมจะตัดสินใจแจ้งเจ้าหน้าที่ของโรงแรม เรื่องที่มีคนเล่าให้ฟังก่อนเดินทางมาที่นี่ก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที เขาเล่าให้ฟังว่า.....
เรื่องเล่า ไม่ควรเล่า : ชั้น 3 ห้องสุดท้าย (ตอน2)
...เขาเล่าว่า.... เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ส่วนงานอื่นของบริษัทเดินทางไปพักที่โรงแรมแห่งนี้ แล้วต้องถูกปลุกให้ตื่นมากลางดึกด้วยกลิ่นเหม็นของอะไรบางอย่างจนนอนไม่ได้ หาสาเหตุของกลิ่นเท่าไรก็หาไม่เจอ เมื่อเรียกเจ้าหน้าที่ของโรงแรมขึ้นมาดู ก็ปรากฏว่ากลิ่นเหม็นที่รุนแรงนั้นหายไป เมื่อนอนต่อได้สักพักก็ได้กลิ่นขึ้นมาอีก ให้เจ้าหน้าที่โรงแรมมาดูก็ไม่มีกลิ่นอีก เมื่อเป็นอย่างนี้พวกเขาจึงตัดสินใจย้ายห้อง ในวันถัดมาพวกเขาได้เล่าเหตุการณ์ที่เจอมาให้พนักงานในพื้นที่ฟัง จึงพอจะได้คำตอบที่เล่าต่อๆกันมาอีกทีหนึ่งว่า...
ที่โรงแรมแห่งนี้ เคยมีคนที่มาพักเป็นผู้หญิงถูกฆ่าหั่นศพ กว่าตำรวจจะสืบเรื่องราวจนรู้ว่าใช้ห้องในโรงแรมเป็นโรงเชือดชั่วคราวและเจอชิ้นส่วนของศพที่ถูกทิ้งไว้กระจายตามจุดต่างๆของเมืองเพื่อเป็นการทำลายหลักฐานของคนร้าย ทั้งถังขยะ ในป่า หรือคลองชลประทาน เวลาก็ผ่านไปร่วมสิบวันแล้ว คนร้ายที่ตำรวจจับได้ก็ให้การไม่รู้เรื่องเหมือนคนเสียสติ หวาดกลัวบางสิ่งอย่างรุนแรง ที่สำคัญคือชิ้นส่วนของศพที่ถูกชำแหละนั้น ตำรวจตามเจอทั้งหมด ยกเว้น “หัว” ที่ทุกวันนี้ยังหาไม่เจอแม้จะปิดคดีไปแล้วก็ตาม ใครไปพักที่นี่ก็จะเจอกลิ่นแปลกโดยหาสาเหตุไม่เจออยู่บ่อยครั้ง บางรายก็เจอหนักกว่านั้น !!!
“เขาเล่าๆกันมานะ ผมก็ฟังเขามาอีกที ไม่รู้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงมันก็น่ากลัวมากนะพี่”
น้องที่บริษัทเล่าให้ผมฟังก่อนเดินทาง
“รู้ป่าวว่าห้องไหน จะได้ไม่พัก” ผมถามเพื่อหาข้อมูลเผื่อไว้
“เคยได้ยินเหมือนกัน แต่ผมจำไม่ได้ แต่ที่รู้ๆ มันอยู่ชั้น 3 !!!”
.........ผมยังยืนเหงื่อผุดอยู่ในห้อง นึกเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เคยฟังกับสถานการณ์ตอนนี้แล้วขนลุกขึ้นมาอย่างประหลาด ผมกำลังจะโทรไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรม พลัน !!! กลิ่นนั้นก็หายไปสิ้น มันชักจะเข้าเค้าอย่างไรพิกล ผมตัดสินใจยังไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ของโรงแรม ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบๆสี่โมงครึ่ง ท้องเริ่มหิว
‘ลงไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า ถ้าขึ้นมายังได้กลิ่นอีก ค่อยแจ้งโรงแรม’
......
.....
...ผ่านไปประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง หลังจากได้อาหารมื้อเย็นช่วยขจัดความหิว และของใช้เล็กๆน้อยๆในร้านสะดวกซื้อตรงข้ามโรงแรมที่บรรยากาศคึกคักในช่วงเย็น ผมกลับเข้ามาที่โรงแรมอีกครั้ง ระหว่างทางเดินที่เงียบวังเวงที่ชั้น 3 เหมือนเป็นทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังโลกอื่นอันมืดมิด ระยะทางจากลิฟท์ถึงห้องพักสุดทางเดินไม่น่าจะเกิน 30 เมตร แต่มันมีความรู้สึกว่าไกลเหลือเกิน ผมเดินไปคนเดียวเงียบๆ เงียบจนผิดปรกติ ทันใดนั้น !!! มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งแซงผมไปด้วยความรวดเร็ว ท่าทางตื่นตกใจ เหมือนวิ่งหนีอะไรบางอย่าง จนเฉียดไหล่ของผมไปแบบถากๆ แล้วรีบเปิดประตูบันไดหนีไฟที่ติดกับห้องพักลงไปทันที
ผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่ คราวนี้ไม่ใช่เพราะความกลัวหรือตื่นตกใจ หากแต่เป็นความสงสัยในเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
เป็นไปได้หรือที่ผมจะไม่ได้ยินเสียงคนวิ่งมาด้านหลัง ทั้งที่บริเวณหน้าห้องพักเงียบขนาดนี้ ผมไม่ได้ยินอะไรเลย เขาวิ่งหนีอะไรทั้งๆที่เมื่อผมหันไปมองข้างหลังซึ่งเป็นทางที่เขาวิ่งมามันไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างยังเงียบนิ่ง ถ้าวิ่งออกมาจากห้องก็ต้องได้ยินเสียงเปิดประตู หรือว่า...เขาเพิ่งจะโผล่มาวิ่งที่ข้างหลังผมนี่เอง !!!!
ขนแขนเริ่มลุกชัน ณ หน้าห้อง 313 !!
เสียงของน้องผู้หญิงที่ทำงาน กับเรื่องที่เธอเล่าให้ฟังก่อนมาที่นี่ก็ดังกลับเข้ามาในมโนสำนึก .....
เธอเล่าว่า........
เรื่องเล่า ไม่ควรเล่า : ชั้น 3 ห้องสุดท้าย (ตอน3)
.....เธอเล่าว่า.....
“ที่โรงแรมแห่งนี้เคยมีเหตุยิงกันตาย เขาเล่ากันว่าแต่ก่อนชั้นล่างของโรงแรมมีผับใหญ่ แล้วเกิดเหตุคนที่มาเที่ยวทะเลาะวิวาทจนถึงขั้นยิงกันตายเลยนะพี่” ผมนั่งฟังด้วยท่าทีที่เรียบเฉยโดยไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเหตุการณ์อย่างนี้ก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในบ้านเรา แล้วเธอก็เล่าต่อด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า...
“แล้วที่สำคัญมันไม่ได้ตายในผับ มันไล่ยิงกันจนมาตายหน้าห้องพักของโรงแรม ไอ้คนที่โดนไล่มันวิ่งหนีขึ้นมาถึงชั้น 3 !!!
สุดท้ายหนีไม่ทัน ถูกยิงตายตรงประตูทางหนีไฟ” ผมนั่งฟังนิ่งๆแล้วนึกภาพตาม
“แล้วคนที่ไปพักที่นั่น ก็มักจะเจอเรื่องแปลกๆ นะพี่ ได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอเปิดประตูไปดูกลับไม่เจอใคร คนเค้าเล่าลือกันว่า น่าจะเป็นวิญญาณของคนที่ถูกยิงตายมาขอความช่วยเหลือเพราะอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตายไปแล้วก็ได้ อื๊ยยย นึกแล้วขนลุก เป็นหนูนะ ไม่พักที่นี่เด็ดขาด”
ตอนที่ผมฟังเรื่องนี้ บอกตามตรงผมไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ตอนนี้ไม่ใช่...
ด้วยความที่ตอนนี้ยังไม่ค่ำมากนัก และความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นมันมากกว่าความกลัว ผมตัดสินใจเดินไปเปิดประตูทางหนีไฟที่ไม่ห่างจากประตูห้องพักมากนัก
แต่...มันเปิดไม่ออก เหมือนประตูถูกล็อคจากภายนอกอย่างแน่นหนา ทั้งดึงทั้งดัน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับ ความงุนงงสงสัยเพิ่มมากขึ้น พร้อมกลับความกลัว หรือว่าเรื่องที่เขาเล่ากันมาจะเป็นเรื่องจริง ผมรีบละจากประตูทางหนีไฟแล้วรีบไขกุญแจเข้าห้องพักทันที ....
นี่ขนานยังไม่ทันข้ามคืนผมเจอเรื่องแปลกๆ ถึงสองเรื่อง จะเปลี่ยนห้องก็ไม่มีห้องว่าง จะย้ายโรงแรมก็เต็มหมด หลวงพ่อที่แกะจากไม้พญางิ้วดำที่คล้องคอ ถูกอาราธนาขึ้นมาพนมไว้ด้วยสองมือที่สั่นเพราะความกลัว พุทธัง อาราธนานัง ธรรมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง ขอให้คืนนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยเถอะ....ส๊าธุ
ในห้องไม่มีกลิ่นเหม็นอีกแล้ว อาจเป็นไปได้ว่ามันเป็นกลิ่นที่ลอยมาจากภายนอก แล้วคงจะมีใครจัดการไปแล้ว หรือแขกที่เข้าพักคนอื่นก็ได้กลิ่นเหมือนกัน แล้วคงแจ้งให้ทางโรงแรมจัดการไปแล้วก็เป็นได้
ช่างมันเถอะ เดินทางมาก็เหนื่อยพออยู่แล้ว เอาเวลาไปพักผ่อนดีกว่า คิดมากปวดหัวเปล่าๆ
ผมนอนดูรายการช่วงเย็นอยู่สักพัก หลังจากนั้นอาบน้ำ และนั่งทำงานทบทวนเนื้อหาที่ต้องใช้สอนพรุ่งนี้อีกนิดหน่อยก็เตรียมตัวเข้านอน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสามทุ่มเศษๆ ซึ่งความจริงแล้วผมก็ยังไม่ง่วงนัก จึงนอนดูทีวีไปเพลินๆ กะว่าง่วงเมื่อไรก็ปิดไปนอน ....ตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ผ่านมาไม่มีสิ่งผิดปรกติใดๆเกิดขึ้นอีกเลย อาจเป็นเพราะอำนาจพุทธคุณ หรืออาจจะไม่มีอะไรจริงๆก็ได้ จนผมจะลืมๆไปแล้วด้วยซ้ำ บอกแล้วว่าเป็นคนไม่กลัวอะไรมาก (แค่เกรงๆ)
ผมยังไม่ง่วง ระหว่างนอนดูทีวีอยู่นั้น โคมไฟที่ห้อยอยู่ตรงปลายเตียงใกล้กับหน้าทีวี ซึ่งแขวนด้วยลวดเส้นใหญ่ติดกับเพดานห้องห้อยยาวลงมาหนึ่งฟุตเห็นจะได้ เริ่มแกว่งช้าๆ ช้าๆ ช้าๆ จนผมสังเกตได้ เหมือนมีคนเอามือไปเขี่ยเล่นก็มิปาน...!!!!
‘เอาอีกแล้ว หลอกให้กูกลัวอีกแล้ว‘... ผมนึกในใจ แต่คราวนี้ไม่สำเร็จ ผมไม่กลัว
ผมลุกขึ้นเดินไปที่สวิสควบคุมเครื่องปรับอากาศในห้องที่ติดอยู่ที่ผนังหน้าห้องน้ำ แล้วปรับความแรงของพัดลมแอร์ลงมาเหลือต่ำสุด เสียงการทำงานของพัดลมแอร์เบาลงทันทีตามการสั่งงาน หากแต่โคมไฟเจ้าปัญหามันยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด...แกว่ง
ร้ายกว่านั้นมันเหมือนจะแกว่งแรงขึ้นเสียด้วยซ้ำไป....
ความกลัวเข้ามาเกาะกุมในใจอีกครั้ง ผมรู้สึกร้อนๆหนาวอยากไรพิกล
พลัน เรื่องที่เพื่อนเล่าให้ฟังก่อนเดินทางก็เด่นชัดเข้ามาในความคิด มันเล่าให้ผมฟังว่า......
เรื่องเล่า ไม่ควรเล่า : ชั้น 3 ห้องสุดท้าย (ตอน 4)
...มันเล่าว่า....
“เฮ้ย กูมีอีกเรื่องนึงจะเล่าให้ฟัง ได้ยินคนอื่นเค้าล่ำลือเหมือนกัน” มันเล่าต่อจากสองเรื่องแรกด้วยภาษาที่เป็นกันเองของเพื่อนสนิท
“โรงแรมเนี๊ยะ เคยมีคนผูกคอตายเว้ย”
แวบแรกผมไม่นึกเชื่อเลยแม้แต่น้อย ด้วยความที่สนิทกันและมักมีเรื่องมาอำกันบ่อยๆ บวกกับมันคงอยากเพิ่มดีกรีความหลอนต่อจากสองเรื่องแรก ก็คงจะกุเรื่องเพิ่มขึ้นมาให้ครบรสเท่านั้นเอง
“เค้าว่ากันว่าเป็นผู้หญิงขายบริการแถวๆนั้นแหละ แล้วน่าจะเครียดเพราะเป็นเอดส์ วันนั้นแขกคงเรียกขึ้นมาบนห้อง หลังเสร็จงานก็คงจะลาโลกเลย ฮ่าๆๆๆ ละวังนะโว้ยอย่าเรียกใครขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้าจะหาว่ากูไม่เตือน...”
“เฮ้ยๆ ยังไม่จบ บางคนก็ว่า คนที่ตายน่ะ ตั้งใจมาตายที่นี่โดยเฉพาะ...!!!!”
ตอนนั้นผมยังนึกยิ้มอยู่ในใจ ว่าเพื่อนคนนี้มันจะอำอะไรต่ออีก
“ผู้หญิงตามมาหาแฟนที่น่าน แล้วมารู้ว่าผู้ชายมีเมียอยู่แล้ว ทำใจไม่ได้ ยังไม่ลืมความทรงจำที่ดี เลยตัดสินใจด้วยการผูกคอตายที่โรงแรมซะเลย” มันเล่าพร้อมกับทำเสียงให้น่ากลัว
“แขกที่ไปพักหลายคนจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้บ้าง หนักกว่านั้นเห็นเป็นตัวจะจะเลยนะ !!!! ห้อยลงมาจากเพดานห้องเลย..!!!”
ผมถามสวนกลับไปทันที เพื่ออยากรู้ว่ามันจะคิดเรื่องทันหรือเปล่า
“แล้วผู้หญิงแขวนคอกับอะไรวะ”
มันตอบมาทันทีเช่นกัน
“โคมไฟ กลางห้อง...!!!!”
...
...
ตอนนี้ทั้งสองมือของผมชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศในห้องเย็นฉ่ำ ทีวียังเปิดอยู่ แต่เหมือนผมจะไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นนอกจากเสียงเต้นถี่ๆของหัวใจเพราะความตื่นกลัว
โคมไฟที่แกว่งไปมาอยู่ตอนนี้ มันน่าจะเกิดจากแรงลมของพัดลมเครื่องปรับอากาศ แต่ก็น่าแปลกที่มันเพิ่งจะมาแกว่งเอาตอนนี้เอง ถ้าเกิดจากแรงลมมันน่าจะแกว่งมานานแล้วตั้งแต่ตอนเปิดแอร์ใหม่ๆ ผมค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้โคมไฟอย่างช้าๆ ดัวยท่าทีกลัวๆกล้า ค่อยๆยกมือที่สั่นและชื้นเหงื่อขึ้นช้าๆ หวังจะจับให้มันนิ่งเหมือนเดิม
และก่อนที่มือของผมจะเอื้อมถึงโคมไฟที่อยู่ไม่สูงเกินไปนัก สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันทำให้ผมขนลุกชัน เสียวสันหลังวาบขึ้นมาอีกครั้ง
โคมไฟหยุดแกว่งในทันทีเหมือนมีอีกมือที่มองไม่เห็นมาจับ พร้อมกันนั้น ทีวีที่เปิดอยู่ก็ดับลงทันทีเช่นกัน ทั้งห้องเงียบกริบ โคมไฟยังห้อยนิ่ง มันนิ่ง จนน่ากลัว....แม้ในห้องจะเงียบสงัด แต่ความรู้สึกของผมเหมือนตอนนี้ผมจะไม่ได้อยู่ในห้องคนเดียวเสียแล้ว ผมอาจจะกำลังอยู่ ในที่ที่ไม่ควรมาอยู่ ก็เป็นได้.......
เรื่องเล่า ไม่ควรเล่า : ชั้น 3 ห้องสุดท้าย (ตอน 5)
....ไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรต่อ ทีวีกลับมาติดอีกครั้ง ทุกอย่างกลับมาอยู่ในห่วงแห่งความปรกติ เหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เว้นแต่ความรู้สึกตื่นกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นเท่านั้นที่ยังคงคุกรุ่นวนเวียนอยู่ในสมอง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ในเมื่อย้ายไปนอนที่อื่นไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องนอนที่นี่ล่ะวะ รีบนอนให้หลับจะได้เช้าไวๆ ผมตัดสินใจเข้านอนทันที โดยเปิดไฟสว่างทั่วทั้งห้อง และให้ทีวีทำหน้าที่ของมันต่อไปทั้งคืนโดยผมเลือกเปิดช่องที่มีรายการเพลงทิ้งไว้ นอนพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบด้วยความไม่เคยชินกับการนอนเปิดไฟและมีเสียงของทีวีรบกวน และอีกใจก็ยังนึกกลัวอยู่ว่าจะเกิดอะไรแปลกๆขึ้นอีกหรือเปล่า เรื่องที่เจอวันนี้ ทั้งกลิ่นที่เหม็นสาบสางโดยหาสาเหตุไม่เจอ คนที่วิ่งมาจากไหนไม่รู้แล้วลงบันไดหนีไฟทั้งที่ประตูเปิดไม่ได้ กับโคมไฟกลางห้องที่แกว่งไปมา และหยุดเอง ยังวนเวียนอยู่ในหัวสลับกับเรื่องเล่าจากเพื่อนร่วมงานที่ประสงค์ดีเหลือเกินกับเรา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด สุดท้ายผมก็หลับ.......
...มโนสำนึกกลับคืนมาอีกครั้งในกลางดึก ผมไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไรแล้ว ณ ตอนนี้ สิ่งที่ทำให้ผมตื่นคือเสียงเคาะประตูรัวๆพร้อมกับลูกบิดประตูถูกบิดและเขย่าอย่างแรง ประหนึ่งว่าผู้ที่อยู่ภายนอกห้องต้องการเข้ามาในนี้ให้ได้ ก่อนนอนผมจำได้ว่าผมล็อคประตูลงกลอนและคล้องโซ่ไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นโจรคงไม่ทำเสียงดัง หรือจะเป็นใคร หรืออะไร.... ก็แล้วแต่ผมไม่เปิดประตูให้เข้าเด็ดขาด !!!!
แต่ตอนนี้ ในห้องมืดสนิท ไฟถูกปิด ทีวีไม่ได้เปิดไว้เหมือนเดิม ช่างมัน สิ่งที่ควรรู้ตอนนี้มากกว่าคือ อะไรกำลังเกิดขึ้นที่หลังประตูห้องที่ยังดังไม่หยุดมากกว่า อาศัยแสงไฟจากหน้าห้องที่ลอดมาจากขอบประดูด้านล่าง และจุดตรงตาแมว ผมเดินตรงไปมองที่ตาแมวทันที ภาพที่ผมเห็นคือชายคนหนึ่งอายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี เคาะประตูด้วยท่าทีที่ร้อนรนและหวาดกลัวเหมือนต้องการจะเข้ามาในห้องให้ได้ พร้อมกันลูกปิดยังถูกเขย่าด้วยความแรงอยู่เช่นนั้น
“ช่วยด้วย ช่วยผมด้วยครับ เปิดประตูให้ผมหน่อย มีคนจะฆ่าผม ช่วยด้วย ช่วยเปิดประตูด้วย !!!”
คำพูดสุดท้ายที่ตะโกนก้องผ่านประตูเข้ามามันเจือปนไปด้วยเสียงแห่งความสิ้นหวัง
สายตาของผมยังมองลอดอยู่ที่ตาแมว แสงไฟที่สลัวรางที่อยู่หน้าห้องแม้จะไม่สว่างมากนักแต่ก็ยังเห็นภาพต่างๆได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
...
...
...
ปัง !!!!
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เพียงนัดเดียว แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างของชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าผมเพียงประตูกั้นล้มลงทันที เลือดจากสมองที่โดนแรงอัดของกระสุนปืน สาดกระเด็นมาที่ช่องตาแมว ผมหลับตาผงะถอยหลังตามสัญชาตญาณ หัวใจเต้นถี่ด้วยความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เลือดในกายถูกฉีดไปทั่วร่างจนผมรู้สึกร้อนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ความง่วงงัวเงียหายไปสิ้น ด้วยความอยากรู้ว่าสถานการณ์ที่หน้าห้องจะเป็นเช่นไร ผมค่อยๆแนบหน้าไปที่ประตูอย่างช้าๆและแผ่วเบา เพื่อไม่ต้องการให้ใครก็ตามที่อยู่ข้างนอกห้องนั้นรู้ว่ามีคนอยู่ในห้อง ดวงตาค่อยๆประกบไปที่ตาแมวอีกครั้ง....
เรื่องเล่า ไม่ควรเล่า : ชั้น 3 ห้องสุดท้าย (ตอน 6 จบ)
ทุกอย่างเงียบสนิทเหมือนเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ไม่ได้เกิดขึ้น ทันใดนั้นร่างของชายที่ถูกยิงล้มลงไม่เมื่อสักครู่ ทะลึ่งลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้า หน้าตาชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากทางรูทางเข้าของกระสุนปืนอย่างน่ากลัว ตาข้างซ้ายโปนจากแรงอัดของกระสุนปืนจนเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า เส้นเลือดในตาแตกจนทำให้เห็นเป็นสีดำสนิททั้งลูกตา
ณ ตอนนี้ ผม...ขยับ...ตัว...ไม่...ได้.... เหมือนเรี่ยวแรงจะหายไปสิ้น ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า บัดนี้มันยกมือขึ้นชี้ตรงมาที่ประตูห้องพร้อมตะโกนก้องด้วยความเกรี้ยวกราด
“มึง!!!”
“มึงไม่ช่วยกู !!!”
“มึงก็เหมือนคนอื่น ไม่มีใครช่วยกูเลย !!!”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอาฆาต สิ้นหวัง ปนความเศร้า
พร้อมกัน ร่างนั้นค่อยๆขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ หน้าชิดประตูจนประตูห้องสะเทือนจนผมรู้สึกได้ ดวงตาที่เบิกโพลงชิดที่ช่องตาแมวด้านนอกห้อง
ตา ประกบ ตา ....
ร่างของผมเหมือนถูกตรึงอยู่ที่ประตูจนขยับไม่ได้
“กูต้องตายยยยยยย !!!! เพราะไม่มีใครช่วยกู...!!!”
ร่างนั้นเหมือนจะแทรกประตูเข้ามาให้ได้ อาการตอนนี้เหมือนผมหายใจไม่ออก มันอึดอัดไปหมด ...
ผมพยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอดออกแรกผลักตัวเองออกมาจากประตู มันได้ผล !!!
ทันทีที่ผมถอยหลังมาจากแรงผลัก ด้วยการทรงตัวที่ไม่ดีนัก บวกกับความมืด ทำให้ขาไปสะดุดกับบางอย่างที่อยู่ข้างหลังล้มลงทันทีในลักษณะก้นกระแทกพื้น สิ่งที่ทำให้ล้มยังอยู่ที่ปลายเท้า ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างพันที่อยู่ขาข้างหนึ่ง ประตูยังถูกเขย่าทุบอยู่โครมๆ พร้อมกับเสียงสบถด่าด้วยความแค้นจากคนที่เคยตาย ผมรีบลุกขึ้นยืน ควานมืออย่างสะเปะสะปะ และรนได้ด้วยความกลัว หาสวิสไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำซึ่งหาเจอโดยไม่ยากเย็น ความมืดมิดในห้องถูกแทนที่ด้วยแสงสว่าง หากแต่ความสว่างนั้นไม่ได้ทำให้ความกลัวลดลง แต่มันกลับเพิ่มขึ้นเพราะทำให้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ...!!!
…
หัว !!!
…
นั่นมันหัวคนชัดๆ !!!
หนังซีดสีขาวคล้ำติดกระดูก ปากอ้าค้างกว้างสีดำสนิทจนมองไม่เห็นฟันที่อยู่ข้างใน ตาเบิกโพลงสีแดงสด ที่สำคัญมันจ้องมาที่ตัวผม เส้นผมยาวสีดำสนิทพันอยู่ที่ขาข้างหนึ่งของผม เหมือนตั้งใจ !!!
ผมร้องลั่นห้อง ยกขาสลัดด้วยความกลัวสุดขีด มันกลิ้งไปมาแต่ไม่หลุด ขาอีกข้างที่ว่างอยู่ทำงานอย่างอัตโนมัติด้วยความกลัว รีบเตะกระเด็นออกไปทันที
หัวนั้นกลิ้งไปนิ่งอยู่ที่ปลายเตียงนอน ในลักษณะตะแคงข้างหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง ผมยังมองตามไปด้วยความหวาดกลัว
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือนี่จะเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น ผมต้องตื่น ตื่นให้เร็วที่สุดในตอนนี้ ก่อนที่ผมจะช็อคไปมากกว่านี้ ..หากแต่มันเป็นเรื่องจริง ..!!!
ผมยังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว แต่ความรู้สึกในตอนนี้มันสุดจะหนาวไปถึงขั้วหัวใจ ข้างหลังคือประตูห้องที่เสียงดังอยู่โครมๆ จากคนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ถูกยิงหัวจนเลือดกระจาย ข้างหน้าคือชิ้นส่วนศพ..!!! ที่เหลือแต่ หัว !!!
.....หัวที่พลิกตะแคงอยู่นั้นค่อยๆ พลิกกลับมาอย่างช้าๆ ช้าๆ ดวงตานิ่งจ้องมาที่ผม แต่ที่สยองที่สุดคือ....ปากที่เคยอ้าค้างในตอนแรก กลับกลายเป็นแสยะยิ้มเยาะเย้ยอย่างสะใจ พร้อมกับส่งเสียงอันแหบแห้งแต่ได้ยินชัดเจนเข้าไปถึงก้นบึ้งแห่งความกลัว
“เอาหัวกูออกไปด้วยยยยยย.....กูอยู่ใต้เตียงมานานแล้ว ...กูอึดอัด เอาหัวกูออกไปด้วย !!!!”
ประโยคหลังมันแผดเสียงคำรามลั่นห้อง
...
...
สูงจากหัวนั้นขึ้นไปไม่ถึงเมตร ร่างของใครคนหนึ่งกำลังแกว่งไปมาอย่างช้าๆ ผมค่อยๆเงยหน้ามองไล่จากปลายเท่าที่คล้ำซีด ไปถึงเพดาน ร่างนั้นถูกแขวนคอไว้กับโคมไฟกลางห้องที่มันเคยแกว่งอย่างไม่รู้สาเหตุในตอนค่ำ ผู้หญิงในสุดสีดำผิวคล้ำซีดทั้งกาย มือและเท้าเหยียดเกร็งแข็ง แลบลิ้นออกมาจุกปากจนถึงปลายคาง ตาเบิกโพลง ก้มหน้านิ่ง มีเพียงเสียงสะอื้นไห้เท่านั้นที่ดังมาจากร่าง มันยังแกว่งอยู่ช้าๆ
มันยังไม่เพียงพออีกหรือกับสิ่งที่เจออยู่ตรงหน้า แค่นี้ผมก็แทบจะสิ้นสติแล้ว ทั้งคนที่เคยตายอยู่หน้าห้อง หัวที่ขาดและพูดได้ กับร่างของหญิงที่ผูกคอตายกับโคมไฟที่กลางห้อง ตอนนี้ผมทนอยู่ในนี้ไม่ได้แน่นอน ไม่ว่าอะไรจะอยู่ที่หน้าห้องก็แล้วแต่ผมตัดสินใจดึงกลอนและสายยู ด้วยมือที่สั่นอย่างแรง พยายามดึงสติสุดท้ายให้อยู่กับตัว เปิดประตูห้องได้วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมกับปากที่ตะโกนร้องลั่นเพราะความกลัว ....
....ในใจยังคิดต่อว่าเพื่อนที่เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังก่อนออกเดินทาง...
‘ทำไมพวกยิ้มไม่บอกกู๊ ว่าเรื่องที่เล่าน่ะ มันเกิดขึ้นในห้องเดียวกัน....ฮือๆๆๆ”
...
...
จบ..