บนโลกเรานั้นบางครั้งก็เกิดเหตุการณ์แบบที่เราไม่คาดฝันขึ้น บางเรื่องก็หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ มันชวนพิศวงซะเหลือเกิน! วันนี้ทีนเอ็มไทยนำ 9 เหตุการณ์เขย่าขวัญที่เกิดขึ้นจริงทั่วโลก อ่านแล้วขนลุก! มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันค่ะ (บอกก่อนว่าเนื้อหาจัดเต็มมาก!) ซึ่งบางเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้จนปัจจุบัน บางเรื่องถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ บางเรื่องก็เป็นอาถรรพ์สะพรึงสุดๆ บางเรื่องก็ชวนให้หลอนกันเลยทีเดียว.. เอาหล่ะรอช้าทำไม หาเวลาว่างแล้วนั่งอ่านกันยาวๆ เลย >,<
9 เหตุการณ์เขย่าขวัญที่เกิดขึ้นจริงทั่วโลก อ่านแล้วขนลุก!9. Vatican City Disappearances : คดีการหายตัวไปอย่างลึกลับที่นครวาติกัน
เรามักจะคิดว่านครวาติกันกับมหาวิหารหรูหราและประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่ไม่น่าจะเกิดเรื่องชั่วร้ายขึ้นมาได้ แต่ทว่าในปี 1983 สิ่งที่น่ากลัวก็ได้ก่อกำเนิดขึ้น เมื่อเกิดคดี Emanuela Orlandi ขึ้นที่นี่
Emanuela Orlandi (เกิด 14 มกราคม 1968) เป็นพลเมืองของนครวาติกันที่หายไปอย่างลึกลับในวันที่ 22 มิถุนายน 1983 ซึ่งเหตุการณ์ของ Emanuela ทำให้เกิดปรากฏการณ์มากมายที่กระทบกับนครวาติกัน เพราะคดีนี้ยังคงลึกลับและไม่มีใครหาคำตอบได้จนถึงปัจจุบัน
Orlandi ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในปีที่สองที่ scientifico liceo (โรงเรียนมัธยมวิทยาศาสตร์) ในกรุงโรม และเธอยังเป็นส่วนหนึ่งของคณะนักร้องประสานเสียงของโบสถ์เซนต์แอนน์ Orlandi เป็นลูกสาวของพนักงานธนาคารวาติกันที่อาศัยอยู่กับครอบครัวของเธอในนครวาติกัน เธอมักจะเดินทางโดยรถบัสไปยังโรงเรียนดนตรี ในวันที่ 22 มิถุนายน 1983 เธอก็สาย เพราะเธอกำลังวุ่นอยู่กับการโทรไปน้องสาวของเธอโดยมีเหตุผลว่าเธอกำลังมีข้อเสนองานจากตัวแทนของเครื่องสำอางเอวอน ไม่นานหลังจากจบคลาสเรียน ก็มีผู้อ้างว่าเห็นเธอได้พูดคุยกับตัวแทนเอวอนบริเวณป้ายรถเมล์ จากนั้นเธอก็ขึ้นรถ BMW คันใหญ่หายตัวไป
หลังจากนั้นเธอก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย และอีกสองวันถัดมาเธอก็ถูกประกาศให้เป็นบุคคลที่หายสาบสูญบนหน้าหนังสือพิมพ์ ร่องรอยการพบเจอเธอนั้นได้รับการกล่าวอ้างจากผู้คนมากมายแต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้ตามหาตัวเธอได้ หลักฐานที่สำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็น กรณีที่ครอบครัว Orlandi ได้รับโทรศัพท์ที่ไม่ระบุชื่อ กล่าวอ้างว่า เธอน่าจะถูกกลุ่มก่อการร้ายจับตัวไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียกร้องความเป็นอิสระของเมห์เม็ตอาลี Ağca ชายตุรกีที่ยิงสมเด็จพระสันตะปาปาในเซนต์ปีเตอร์สแควร์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1981
6 กรกฏาคม 1983 มีคนแจ้งสำนักข่าว ANSA โดยแจ้งความต้องการสำหรับการแลกเปลี่ยนตัวเธอกับชายตุรกีภายใน 20 วันและพวกเขาจะแสดงให้เห็นว่าได้จับตัวเธอไปจริงๆ โดยการวางตะกร้าในจัตุรัสสาธารณะใกล้กับรัฐสภา โดยภายในจะมีหลักฐานที่บ่งถึงตัวเธอรวมทั้งใบเสร็จที่เขียนด้วยลายมือเธอเอง แต่ผู้พิพากษาที่ดูแลคดี Orlandi กลับไม่ได้เชื่อว่า มันมีการเชื่อมต่อที่มีความน่าเชื่อถือระหว่างการลักพาตัว Orlandi และคนร้ายของสมเด็จพระสันตะปาปา
8 กรกฏาคม 1983 คนที่มีสำเนียงตะวันออกกลางได้โทรไปยังหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นของ Orlandi ว่า Orlandi อยู่ในมือของเขาและบอกว่าพวกเขามีเวลา 20 วันที่จะทำให้การแลกเปลี่ยนตัวประกันโดยการโทรมาจากตู้โทรศัพท์ที่แตกต่างกันมากกว่า 16 ครั้งและหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเจอเธออีกเลยเป็นเวลากว่า 20 ปี!
แต่แล้วในเช้าวันที่ 14 พฤษภาคม 2001 ก็มีการค้นพบกะโหลกศีรษะของมนุษย์ที่มีขนาดเล็กในสภาพขากรรไกรขาดบรรจุอยู่ในถุง แล้วยังมีภาพของบาทหลวง Padre Pio อยู่อีกด้วย…แต่มันก็ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าจะเป็นกะโหลกศีรษะของ Orlandi และพ่อของ Emanuela เสียชีวิตในปี 2004 หนึ่งเดือนหลังจากที่ให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของเขา
ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2010, เมห์เม็ตอาลี Ağca ถูกสอบปากคำโดยโทรทัศน์ของรัฐในตุรกี โดยเขากล่าวอ้างว่า Orlandi ถูกเก็บไว้เป็นนักโทษโดยวาติกัน (สำหรับAğca) แล้วอาศัยอยู่ในประเทศยุโรปกลางเป็นแม่ชีในวัดคาทอลิก เขาเสริมว่าครอบครัวของ Orlandi จะได้เห็นลูกสาวของพวกเขาเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากวัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีผู้กล่าวอ้างว่า เธอ และยังมีหญิงสาวอีกรายที่หายตัวไปนามว่า Mirella Gregori ทั้งสองคนหายไปในปี 1983 อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีอื้อฉาวทางเพศที่เกิดขึ้นภายในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จนถึงบัดนี้คดีนี้ก็ยังคงความลึกลับจนถึงปัจจุบัน
8. Villisca Axe Murders : คดีนักฆ่าขวานโหดแห่ง Villisca
วันที่ 9 มิถุนายน 1912 สมาชิกครอบครัวตระกูลมัวร์ 6 คนและ เพื่อนของลูกสาวตระกูลมัวร์ 2 คนได้เข้าร่วมโปรแกรมของเด็กที่คริสตจักรเพรสไบทีของพวกเขา แต่หลังจากที่พวกเขากลับไปยังบ้านที่ไอโอวาในเย็นวันนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ออกมาจากบ้านอีกเลย จนในเช้าวันรุ่งเพื่อนบ้านเข้าไปในบ้านและพบว่าทั้งหมดแปดคนนอนอยู่บนเตียงในสภาพถูกฟันจนขาดเป็นชิ้นๆด้วยขวานขนาดใหญ่
จากการตรวจสอบผู้ต้องสงสัยหลายๆราย ที่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจรวมทั้งฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งตำรวจจับผู้ต้องสงสัยได้ แต่ก็ไม่สามารถเอาผิดกับใครๆได้ จากการสอบสวนประจักษ์พยานรอบด้านต่างก็ให้การตรงกันว่า คนที่ฆ่าไม่น่าจะเป็นมนุษย์ และเป็นอสุรกายร่างใหญ่ มันถือขวานเดินไปมารอบบ้าน พร้อมกับทิ้งรอยเท้าไว้เต็มบ้านอย่างน่าขนลุกขนพอง
จนถึงปัจจุบันคดีนี้ก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย จนกระทั่งบ้านถูกจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำรัฐไปซะงั้น โดยตั้งชื่อซะหรูว่า “Axeman of New Orleans” ซึ่งใครก็ตามที่ไปเยือน ก็ยังอ้างว่าได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้ตายดังออกมาจากตัวบ้านอย่างน่าสยดสยอง
7. The Red Book : หนังสือปกแดง
หนังสือปกแดง หรือที่เรียกว่า Liber Novus ซึ่งเป็นภาษาละตินเป็นต้นฉบับที่มี 205 หน้า เขียนโดยจิตแพทย์ชาวสวิส นามว่า คาร์ล กุสตาฟ จุง ในช่วงระหว่างประมาณ ปี 1914 ถึง 1930 คาร์ลเป็นจิตแพทย์ที่มีอิทธิพลโดยเป็นผู้ก่อตั้งของจิตวิทยาวิเคราะห์ เขาทำงานร่วมกับ ซิกมันท์ ฟลอย ในผู้ป่วยจิตเภท ในปี 1913 ความสัมพันธ์ของเขาก็เริ่มแตกแยก คาร์ลเริ่มมีปัญหากับประสาทของเขาอย่างรุนแรง เขายังยอมรับว่าได้เห็นภาพหลอนต่างๆมากมาย
ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้เขียนหนังสือที่ชื่อ Liber Novus โดยภายในประกอปไปด้วยรูปปีศาจที่วาดขึ้นด้วยมือ, การสนทนากับเทพเทวดาต่างๆ ที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นภาพของการร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง และการเดินทางผ่านขุมนรก เขาเขียนไปถึงระดับที่เรียกว่า “ปัญญาไม่มีที่สิ้นสุด” และเล่าเรื่องของสภาวะโรคจิตต่างๆ ทั้งยังมีภาพน่าฉงนงงงวยมากมายที่ยังตีความไม่ออก…เขาหมกหมุ่นอยู่กับหนังสือเป็นเวลากว่า 16 ปี จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1961
หลังจากการตายของครอบครัว Jung ได้มีการล็อกหนังสือปกแดงไปเกือบ 50 ปี เป็นหนังสือแห่งความลึกลับในเนื้อหาที่คลุมเคลือ เพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นมัน จนมันได้รับการตีพิมพ์ในเดือนตุลาคมของปี 2009 และได้ถูกแสดงในของพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งแมนฮัตตัน จนบัดนี้ยังไม่มีใครตีความได้ว่า สิ่งที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ มีนัยยะอะไร หมายถึงอะไร และมันคืออะไร มันยังคงความลึกลับที่แฝงไว้ภายใต้หนังสือปกแดงที่ได้ตายหายไปพร้อมกับเขาจนถีงปัจจุบันนี้
6. The Smiley Face Murder Theory : ปริศนาแห่งทฤษฎีการฆาตรกรรมใบหน้ายิ้ม
ทฤษฎีการฆาตกรรมใบหน้ายิ้ม เป็นทฤษฎีขั้นสูงซึ่งตั้งขึ้นโดยสองนักสืบวัยเกษียน เควิน แกนนอน และ แอนโทนี่ อาร์เต แห่งกรมตำรวจ New York City (NYPD) พวกเขาได้กล่าวว่าจำนวนของคนหนุ่มสาวที่พบว่าเป็นศพใน แหล่งน้ำหลายรัฐในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้นจากการจมน้ำเองแต่อย่างใด แต่พวกเขาตกเป็นเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่ง หรือ ที่พวกเขาตั้งชื่อว่า “นักฆ่าใบหน้ายิ้ม” เพราะหลังจากที่เกิดเหตุการค้นพบศพ ไม่นานนักมันก็จะปรากฏรูปสัญญาลักษณ์ที่ถูกทำขึ้นมาตามจุดต่างๆใกล้กับที่เกิดเหตุ เป็นรูปหน้าการ์ตูนกำลังยิ้ม
ในปี 2008 แกนนอนและอาร์เตตรวจสอบพบหลักฐาน ที่นำกลับไปยังปลายปี 1990 ที่พวกเขาเชื่อว่า เป็นการเชื่อมต่อการตายของ 40 ศพหรือมากกว่าของ เด็กหนุ่มวิทยาลัย ที่พบว่าเป็นศพถูกพบในน้ำในจากทั้ง 11 รัฐ ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขามักจะตายหลังจากออกจากงานปาร์ตี้ หรือหลังจากที่พวกเขาไปฉลองจนเมามาย ตามที่นักสืบสืบสวนนั้น ส่วนใหญ่พวกเหยื่อมักจะเป็นนักเรียนที่เป็นที่นิยม, แข็งแรง, และมีอนาคตที่ดีและส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว แต่ที่ทำให้นักสืบต้องตกตะลึงก็คือ หลังจากที่พวกเขาค้นพบศพ มันก็จะพบว่า หลังจากนั้นก็จะมีรูปการ์ตูนคนยิ้มอยู่ในบริเวณใกล้ๆกันเกินกว่าโหล
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจากการสืบสวน ตำรวจสถานีอื่นๆก็มักแย้งว่ามันคือเหตุบังเอิญมากกว่าที่จะเป็นการกระทำจากฆาตรกร และสรุปผลการตายของหลายๆคดีว่า มาจากอุบัติเหตุทั้งหมด โดยพวกเขาเพียงแค่เมา และจมน้ำเสียชีวิตเอง ถึงขั้นมีการนำทฤษฐีนี้ไปล้อเลียน และพนันกันว่า ถ้าเกิดมีคนเมาตกน้ำตายก็ให้ปิดบริเวณค้นหารูปภาพหน้ายิ้มกันได้เลย
ที่สุดแล้วทฤษฐีนี้กลับได้รับความสนใจจาก FBI เพราะเหตุเด็กวัยรุ่นชายหายสาบสูญ จนกระทั่งพบว่าพวกเขากลายเป็นศพนั้นก็ยังเกิดขึ้นต่อมาเรื่อยๆ…และทั้งสองนักสืบก็ได้รับการสนับสนุนให้ทำการสืบสวนกันต่อไปจนถึงปัจจุบัน
5. Atuk Curse : คำสาปแห่ง Atuk
ATUK เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงตามนวนิยายในปี 1963 โดยผู้เขียนเป็นคนแคนาดา เป็นหนังเกี่ยวกับความภาคภูมิใจของนักล่าเอสกิโมผู้ยิ่งใหญ่ที่พยายามจะปรับตัวเข้ากับชีวิตในเมืองใหญ่ โดยในหนังมีองค์ประกอบเหน็บแนมชนชาติ วัตถุนิยมและวัฒนธรรมที่เป็นที่นิยม บทภาพยนตร์ได้รับการดัดแปลงตั้งแต่ต้นปี 1980 และแม้ว่าหลายสตูดิโอฮอลลีวู้ดภาพยนตร์ได้แสดงความสนใจในการผลิตภาพยนตร์ แต่มันก็กลับไม่ได้รับการสร้าง เนื่องจากเรื่องราวความเฮี้ยนของมันนั่นเอง
เกือบ 30 ปี ที่ผู้กำกับคนแล้วคนเล่าลังเลที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้ถูกสาบ ให้คนที่แสดงเป็นตัวเอกของเรื่องต้องตายลูกเดียว เริ่มจาก จอห์น เบลุชิ ดารานำของเรื่อง ตายด้วยการกินยาเกินขนาด ในปี 1982 ซึ่งเมื่อนายจอห์นตายทำให้ดาราตลกอย่าง แซม คินิสัน มาแสดงแทน จากนั้นก็มีปัญหา มากมายตามมา จนทำให้หนังถูกแบ่งเป็น Re-written แต่พอปีผ่านมานิดหน่อย เขาก็ตายเพราะรถชนอีก ทำให้บทส่งต่อมาที่ จอห์น แคนดี้ แต่หลังจากรับบทก็หัวใจวายตายทันที ทำให้หนังเรื่องถ่ายไม่เสร็จและตัวตลกอ้วนทั้งหลายสาบานว่าจะอยู่ห่างจากบทหนัง เรื่องนี้ตลอดกาล
และแล้ว ในปี 1997 ดาราชื่อ คริว ฟาร์ลีย์ คิดจะลองดูโดยไม่เชื่อคำสาป ผลคือเขากินยาเกินขนาดตายในปีนั้น!! และล่าสุดมีการทาบให้ Jack Black มาเล่นในปี 2008 แต่ Black ปฎิเสธและยอมรับอย่างลูกผู้ชาย ว่าผมกลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับผม ซึ่งเขาคิดถูกแล้วล่ะ ไม่งั้น เราคงไม่เห็นเขายังคงโลดแล่นในหนังตลกจนถึงยุคปัจจุบัน
4. The Bunny Man : มนุษย์กระต่าย
มนุษย์กระต่ายเป็นตำนานประจำเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในเคาน์ตี้แฟร์เวอร์จิเนียในปี 1970 แต่ได้รับการแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่กรุงวอชิงตันดีซี มีเรื่องเล่าในหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งสวมชุดกระต่าย และเขาได้ทำการโจมตีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายด้วยขวานอันคมกริบ
ซึ่งหลายเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นบริเวณสะพานลอยในโคลเชสเตอร์ หรือสะพานลอยทางรถไฟสายใต้ที่ทอดผ่านถนนโคลเชสเตอร์ใกล้กับคลิฟตัน โดยที่สุดแล้วปัจจุบันนี้สะพานลอยโคลเชสเตอร์ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเรียกว่าเป็น “สะพานมนุษย์กระต่าย” ไปแทนซะงั้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่มีรายงานก็คือ ในตอนเย็นของวันที่ 19 ตุลาคม 1970 เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นกับนายร้อยบ๊อบ เบนเน็ตต์ ซึ่งเป็นนักเรียนของกองทัพอากาศสหรัฐและคู่หมั้นของเขา ประมาณเที่ยงคืนขณะที่พวกเขากลับมาจากเกมฟุตบอล บนถนนนิวกินีในเบิร์ค ขณะที่พวกเขานั่งอยู่ในที่นั่งด้านหน้าในรถที่กำลังวิ่งอยู่ พวกเขาสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างข้างนอกหน้าต่างด้านหลังสีขาวๆ ครู่ต่อมาหน้าต่างผู้โดยสารด้านหน้าก็ถูกทุบและปรากฏชายในชุดขาวยืนอยู่ตรงหน้าต่างที่แตกสลาย เบนเน็ตต์รีบหักพวงมาลัยหันรถหลบออกไป จนกระทั่งเหตุการณ์สงบลง พวกเขาก็พบขวานตกอยู่ที่พื้น
เมื่อตำรวจถามหาคำอธิบายของคนร้าย บ๊อบยืนยันว่าเขาได้รับการโจมตีจากคนที่สวมใส่ชุดสูทสีขาวที่มีหูกระต่ายยาว พวกเขาทั้งสองจำได้และเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยความมืดมันจึงทำให้พวกเขาจำหน้าตาคนๆนั้นไม่ได้ จากนั้นตำรวจก็พบขวานหลังจากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เบนเน็ตต์รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเขากลับไปวิทยาลัยกองทัพอากาศในทันทีหลังจากนั้น
รายงานการพบเห็นที่สองที่เกิดขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 29 ตุลาคม 1970 เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยการก่อสร้าง พอล ฟิลลิป เดินไปยังด้านตะวันตกบนถนนนิวกินี ฟิลลิปกล่าวว่าเขาพบคนที่สวมใส่ในชุดสีเทา, สีดำ, และสีขาวเป็นชุดกระต่ายและอายุประมาณ 20 ปี สูงประมาณ 5 ฟุต 8 นิ้ว (1.73 เมตร) เขาได้ถือขวานที่มีด้ามยาว และตะโกนว่า “ทุกคนที่บุกรุกที่นี่ หากพวกเมิงยังไม่ออกไปจากที่นี่ ข้าจะเอาขวานจามหน้าอกและหัวของพวกเมิงให้เละหมดทุกคน!!” ใครจะอยู่ล่ะ โกยแน่บ
ต่อมาตำรวจของเคาน์ตี้แฟร์ที่เข้ามาสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถหาหลักฐานเพิ่มเติมได้ ทั้งสองคดีจึงถูกปิดในที่สุดเพราะขาดหลักฐาน แต่ในหลายสัปดาห์ต่อมา ก็ได้เกิดอุบัติเหตุมากกว่า 50 ราย และทุกๆรายก็ติดต่อแจ้งความไปยังตำรวจอ้างว่าได้เห็น “มนุษย์กระต่าย” กันแทบทุกคน
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ตำนานแห่งมนุษย์กระต่ายก็ได้ถูกเล่าในรูปแบบที่ต่างกันออกไป รวมทั้งการอ้างถึงนักโทษคดีร้ายแรงที่ได้หลบหนีออกจากคุกและได้ไปแฝงตัวอยู่ที่นั่น และในทุกๆวันฮัลโลวีนก็มักจะมีผู้คนที่ชื่นชอบเรื่องลึกลับและท้าทายไปลองของกันที่ใต้สะพานแห่งนี้กันเสมอมา โดยที่ในปัจจุบันนี้ ความลึกลับของเจ้ามนุษย์กระต่ายก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลายลงแต่อย่างใด
3. The Original Spanish Kitchen : ตำนานร้างร้านอาหารสเปน
ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่เปิดขึ้นในปี 1932 และกลายเป็นที่ชื่นชอบของดาราฮอลลีวู้ด เช่น บ๊อบ โฮป ลินดา ดาร์เนล และจอห์น แบรี่มอร์ แต่แล้วมันก็ถูกปิดลงในคืนหนึ่งในปี 1961 โดยที่ภายในร้านยังถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบราวกับมีคนมาใช้บริการ แต่ที่หน้าร้านกลับแขวนป้ายว่า หยุดในวันหยุด และมันก็ไม่เคยเปิดบริการขึ้นมาอีกเลยนับตั้งแต่วินาทีนั้น
มีเรื่องราวได้ถูกเล่าต่อๆกันมาว่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร เพิร์ล คาร์เร็ตโต้ และสามีของเธอ จอห์นนี่ ได้เปิดร้านในปี 1932 และมันก็กลายเป็นที่ชื่นชอบของดารามากมายหลายหน้า จากนั้นสามีของเธอก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสัน จอห์นนี่ เมื่อโรคพาร์กินสันบังคับให้เขาต้องเข้าไปในบ้านพักฟื้น ในที่สุดเพิร์ลก็จำใจปิดร้านโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และพวกเขาก็ยังได้อยู่อาศัยบนชั้นสองเรื่อยมา
เธอมั่นใจว่าจอห์นนี่จะฟื้นตัวแน่ และเขาจะกลับไปที่ร้านอาหารที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง แต่เขาก็ไม่ได้ฟื้นคืนมาอีกเลย และเพิร์ลก็ได้เก็บสามีของเํธอไว้ในที่ที่แห่งหนึ่งในนั้น จนในที่สุดสามีของเธอก็ได้ตายลงในปี 1967 หลังจากนั้น เธอก็ไม่สามารถทำใจได้ และเธอก็ไม่อาจจะปล่อยร้านอันเป็นที่รักของสามีและเธอที่ร่วมสร้างกันขึ้นมาไปให้ใคร
เพิร์ล ได้ตายลงในที่สุดและครอบครัวของพวกเขาก็ขายทรัพย์สินไปในปลายปี 1990 แต่ความลึกลับของร้านอาหารยังคงอยู่ ซึ่งเล่ากันว่า ทั้งคู่ ยังคงอาศัยอยู่ด้วยกันตลอดมาบนห้องพักบนชั้นสอง!!!! บางตำนานยังเล่าว่า พวกเขาได้ถูกฆ่าอำพรางศพอยู่ภายในร้านจวบจนถึงปัจจุบัน
2. The Changeling : ปมปริศนาการลักพาตัวกระฉ่อนโลก
และนี่คือเรื่องจริงที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ระดับโลก ใน ค.ศ. 1926 แซนฟอร์ด เวสลีย์ คลาร์ค เด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวรัสเซีย ได้ย้ายบ้านจากรัฐซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา มาอยู่กับลุงของเขาชื่อ กอร์ดอน สจ๊วต นอร์ทคอตต์ ที่ฟาร์มปศุสัตว์ในไวน์วิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ปรากฏว่า แซนฟอร์ด พบว่า กอร์ดอน ซึ่งในภาพยนตร์นี้มีภาพลักษณ์เป็นฆาตกรโหด สังหารเด็กต่อเนื่อง 20 คน
แต่ในความเป็นจริง กอร์ดอนเบี่ยงเบนทางเพศ และมีความกระสันสูง มักจะลักพาตัวเด็กชายจากพื้นที่ห่างไกลมากระทำชำเรา กักขังหน่วงเหนี่ยวอยู่จนพอใจ และจะขับรถพาเด็กกลับไปส่งคืนที่พื้นที่ในรัศมีใกล้บ้าน แล้วตระเวนหาเด็กรายต่อไป โดยอาศัยความที่เด็กจะไม่สามารถจำสถานที่และไม่สามารถชี้ตัวได้ กอร์ดอนจึงรอดมาได้ตลอด และกอร์ดอนได้ข่มขู่กักขังแซนฟอร์ดไว้ไม่ให้บอกความจริงนี้แก่ใคร
ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1928 กอร์ดอนได้ลักพาตัว วอลเตอร์ เจมส์ คอลลินส์ จูเนียร์ ไปข่มขืนกระทำชำเราเหมือนเด็กชายรายอื่นๆ แต่หลังจากกักขังวอลเตอร์ได้ไม่กี่วัน มารดาของกอร์ดอน ชื่อ ซาราห์ หลุยส์ นอร์ทคอตต์ ได้มาเยี่ยมกอร์ดอนที่ฟาร์มปศุสัตว์ ได้พบวอลเตอร์ เธอจำวอลเตอร์ได้ เพราะเห็นวอลเตอร์และคริสตินชอบไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าที่กอร์ดอนเคยทำงานบ่อยๆ
จนวอลเตอร์จำหน้าของกอร์ดอนได้แล้ว และได้ทราบว่ากอร์ดอนทำอะไรลงไปบ้าง ก็โกรธกอร์ดอนมาก แต่ด้วยวิสัยของแม่ จึงมีอารมณ์ชั่ววูบที่อยากช่วยให้ลูกไม่มีความผิด จึงด่ากอร์ดอนไปว่า กอร์ดอนใช้อะไรคิดถึงไปลักพาตัวเด็กทีจำหน้ากอร์ดอนได้มาข่มขืน? เมื่อคิดอยู่สักพัก กอร์ดอนจึงฆ่าวอลเตอร์ โดยใช้ขวานจามจนวอลเตอร์เสียชีวิต
ส่วนคริสติน ผู้ซึ่งเป็นแม่ของวอลเตอร์ได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจลอสแอนเจลิสว่าลูกชายเธอหายตัวไป ซึ่งในช่วงแรก กรมตำรวจได้ช่วยกันตามหาลูกชายของเธอเป็นอย่างดี ในขณะที่คริสตินเองก็โทรศัพท์ไปยังกรมตำรวจทุกมลรัฐ สำนักงานนายอำเภอ สำนักงานนักสืบ และทำทุกอย่างที่เธอสามารถทำได้ เพื่อหาวอลเตอร์ จนกระทั่งเธอเป็นที่สนใจของสังคมและสื่อมวลชน จนกระทั่งหลายเดือนต่อมา กรมตำรวจก็ได้รับรายงานว่าพบเด็กชายที่ได้บอกว่า ตนเองคือวอลเตอร์ คอลลินส์แล้ว
กรมตำรวจลอสแอนเจลิสไม่ได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ส่งเด็กชายคนนั้นกลับไปหาคริสตินทันที ปรากฏว่าเด็กชายผู้นั้นไม่ใช่วอลเตอร์ คอลลินส์ ทำให้คริสตินได้ไปแจ้งกรมตำรวจว่าเด็กคนดังกล่าวไม่ใช่ลูกของเธอ แต่แทนที่กรมตำรวจจะยอมรับความผิดพลาด แล้วตามหาลูกชายของเธอต่อ กลับพยายามยัดเยียดให้คริสตินเชื่อว่าเด็กคนนั้นคือลูกชายของเธอ
โดยอ้างว่า คริสตินไม่ได้อยู่กับลูกชายเธอมานานแล้ว เด็กจึงมีพัฒนาการทางร่างกาย แต่คริสตินก็ยืนกรานไม่เชื่อ กรมตำรวจก็ปล่อยข่าวเท็จเพื่อทำลายภาพพจน์ของเธอ ให้สังคมคิดว่าเธอวิตกจริต คริสตินจึงไปหาหลักฐานและพยานมาช่วยยืนยัน แต่ก่อนที่เธอจะได้เปิดเผยหลักฐานแก่สื่อมวลชน กรมตำรวจได้จับตัวเธอเข้าโรงพยาบาลบำบัดสุขภาพจิตของตำรวจโดยอ้างว่าเธอวิกลจริตไปแล้ว
ในโรงพยาบาล เธอได้เห็น(และถูก)แพทย์และพยาบาลละเมิดสิทธิผู้ป่วยอย่างร้ายกาจ แต่ต่อมาจึงได้มีผู้เคลื่อนไหวช่วยเหลือเธอเป็นจำนวนมาก ทั้งนักบวช และมวลชนลอสแอนเจลิส ช่วยเธอ จนเธอได้รับการปล่อยตัวจากโรงพยาบาล
หลังจากนั้น กอร์ดอนก็เปลี่ยนความกระสันของตน จากความกระสันทางเพศกับเด็กชาย เป็นความกระสันในการสังหารเด็กชาย ในระหว่างที่คริสตินได้รับลูกชายผิดคน และต่อสู้จนได้รับความทุกข์ทรมานจากการกลั่นแกล้งอย่างร้ายกาจของตำรวจหน่วย LAPD (ซึ่งภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาในส่วนของการกลั่นแกล้งจากตำรวจ LAPD นั้นไม่ต่างจากความจริงที่คริสตินได้รับ) กอร์ดอนก็ก่อคดีต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะที่ตำรวจกำลังพุ่งความสนใจไปที่การโจมตีคริสติน ทำให้วอลเตอร์ไม่ใช่เหยื่อรายสุดท้าย
ในช่วงระหว่างการต่อสู้ของคริสติน ตำรวจ LAPD ปิดหูปิดตาประชาชนจากความจริง ด้วยความที่ปล่อยข่าวทำลายภาพพจน์ของเธอ ทำให้ประชาชนจึงเชื่อตำรวจ มากกว่าเชื่อผู้หญิงตัวคนเดียว แต่ในความมืดแปดด้าน มีผู้ยื่นมือเข้าให้ความช่วยเหลือแก่เธอ หลักๆ คือ นายแพทย์ สาธุคุณ กุสตาฟ บรีกเล็บ ได้ช่วยจัดหาทนายเก่งๆ ช่วยคริสตินยื่นฟ้องหน่วย LAPD และได้จัดรายการวิทยุที่เปิดเผยความจริงของคริสตินให้ประชาชนรับรู้
ต่อมา แซนฟอร์ดจะสบจังหวะตอนกอร์ดอนเผลอเข้าให้ข้อมูลกับองค์กรนักสืบ และกว่าที่องค์กรนักสืบที่ดำเนินการจนนำไปสู่การจับกุมกอร์ดอน ก็มีเหยื่อเด็กชายเสียชีวิตด้วยย้ำมือกอร์ดอนไปแล้ว 17 คน ซึ่งในจำนวนนี้ 14 คน สภาพศพเกินความสามารถของทีมสืบสวนที่จะสามารถพิสูจน์ศพได้ ซึ่งจำนวนดังกล่าวนี้จะสามารถน้อยลงได้หากตำรวจ LAPD พุ่งความสนใจไปที่การยอมรับความผิดพลาด แล้วประสานงานไปยังหน่วยต้นสังกัด ไม่ใช่พุ่งความสนใจไปที่การเล่นงานคริสติน…
จากการจับกุมกอร์ดอน ความจริงดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชน เป็นรอยด่างพร้อยขนาดใหญ่ในประวัต์ศาตร์วงการตำรวจจนถึงปัจจุบัน และศาลได้ตัดสินว่า LAPD มีความผิดจริง และต้องจ่ายเงินค่าปรับให้แก่คริสตินเป็นจำนวน 10,800 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 136,889 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4.4 ล้านบาทไทยในปัจจุบัน) แต่จนถึงปัจจุบันนี้ LAPD ก็ยังไม่ได้จ่าย
หลังจากการจับกุมกอร์ดอนและซาราห์ (มารดาของกอร์ดอน) ซาราห์ก็ได้ยอมรับผิดว่า มีส่วนร่วมในการสังหารวอลเตอร์ และได้ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ในปี ค.ศ. 1928 และในระหว่างการถูกจำคุก เธอได้บอกความจริงว่า เธอเป็นทั้ง แม่ และ ยาย ของกอร์ดอน เพราะกอร์ดอน เกิดมาจากการร่วมเพศกันระหว่างสามีของเธอ กับลูกสาวในไส้ และหลังจากเกิดมา กอร์ดอนถูกล่วงละเมิดทางเพศจากสมาชิดในครอบครัวนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้กอร์ดอนเบี่ยงเบนทางเพศไป และนำไปสู่คดีฆาตกรรมสยองขวัญในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นที่ชัดเจนว่า วอลเตอร์เสียชีวิตไปแล้ว แต่ใน ค.ศ. 1935 มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งหายตัวไปตั้งแต่ปี 1928 ได้ปรากฏตัว และเข้าให้การกับตำรวจว่า เขาคือหนึ่งในเหยื่อของผู้รอดชีวิตจากกอร์ดอน เขาต้องหลบซ่อนตัวอยู่นานเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยที่จะเปิดเผยตัว เขาบอกว่า เขาหลบหนีออกมาจากฟาร์มกอร์ดอนพร้อมกับวอลเตอร์
แต่ได้พลัดหลงกันในความมืด ดังนั้น วอลเตอร์อาจยังมีชีวิตอยู่ แต่หลบซ่อนอยู่ด้วยความกลัวเหมือนเขาก็ได้ และผลการชันสูตรศพอาจผิดพลาด หลังจากนั้น คริสติน ก็ไม่เคยสิ้นหวัง เธอยังคิดอยู่เสมอว่าลูกชายของเธออาจยังมีชีวิต และตามหาลูกอย่างไม่ลดละ แต่ก็ไม่เคยได้พบลูกชายของเธออีกเลย จนกระทั่งเธอเสียชีวิตใน ค.ศ. 1964
1. Mister X : ปริศนานักโทษลึกลับแห่งอิสราเอล มิสเตอร์เอ็กซ์
มิสเตอร์เอ็กซ์ หรือ บางคนเรียกว่า “ชายในหน้ากากเหล็ก” เขาคือชายปริศนาที่ไม่เคยมีใครรู้จักตัวตน และเขาได้ถูกคุมขังแยกเดี่ยวอยู่ในคุกลับของอิสราเอลในปี 2010 เป็นต้นมา
เรื่องราวเกี่ยวกับมิสเตอร์เอ็กซ์ได้ถูกเปิดเผยขึ้นในปี 2010 เมื่อปรากฏว่ามีการจับตัวชายคนหนึ่งมาขังเดี่ยวไว้ในคุกลับของอิสราเอล โดยมีข้อห้ามแม้กระทั่ง ผู้คุมยังไม่มีสิทธิ์เห็นหน้า รวมทั้งรู้จักชื่อของเขา ห้ามมีใครสื่อสารติดต่อกับเขาตลอดการถูกคุมขังในคุกลับ ก็ไม่มีใครติดต่อมาหาเขาเลย เสมือนว่าเขาคือบุคคลไร้ตัวตนที่ถูกขังลืมไปตลอดกาลจากรัฐบาลอิสราเอล
เหล่าผู้คุมยังสงสัยในตัวมิสเตอร์เอ็กซ์ว่าเขากระทำความผิดร้ายแรงอะไรมาถึงได้ถูกกระทำเช่นนั้น เพราะมันดูลึกลับเกินไป ไม่เหมือนนักโทษคนอิ่นๆที่ถึงแม้จะทำความผิดร้ายแรงมาก็ยังได้รับการเปิดเผย แต่สำหรับมิสเตอร์เอ็กซ์ทุกอย่างดูเหมือนจะคงไว้ซึ่งความลับดำมืดไปซะหมด
เคยมีนักข่าวถามถึงมิสเตอร์เอ็กซ์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็กลับได้รับการตอบรับมาว่า พวกเขาไม่มีอำนาจพอที่จะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับนายคนนี้ เพราะมันอาจจะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ หลายคนจึงตั้งข้อสังเกตว่าเขาอาจจะเป็นสายลับระดับพระกาฬที่บังเอิญไปล่วงรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ซึ่งหากมันถูกเปิดเผยไป อาจจะทำให้อิสราเอลล่มสลายลงไปเลยทีเดียว
จนกระทั่งเมือปีที่แล้ว 2013 ก็มีคนออกมาเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับมิสเตอร์เอ็กซ์ว่าเขาคือ อดีตสายลับชาวออสเตรเลีย นามว่า Ben Zygier ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจารกรรมข้อมูลลับมากมายในตะวันออกกลาง รวมทั้งปฏิบัติการในอิหร่านและซีเรีย และเขาก็ได้เสียชีวิตลงไปแล้วตั้งแต่ปี 2010 โดยการแขวนคอด้วยผ้าปูที่นอนของเขาเองภายในคุกลับแห่งนั้น
และเมื่อมีการพิสูจณ์หลักฐาน กลับมีการพบว่า ภายในตัวของเขาเต็มไปด้วยสารพิษบางอย่างกระจายไปทั่วทั้งร่างกาย และ หลายคนยังคงไม่ปักใจเชื่อในถ้อยแถลงการณ์เปิดเผยตัวมิสเตอร์เอ็กซ์ของอิสราเอล ว่าไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังไม่ตาย หรือ ถ้านี่คือตัวจริง เขาคือใคร มาจากไหน และทำไม อิสราเอลถึงต้องกระทำการซ่อนตัวเขาไว้จนแน่นหนา ลึกลับซับซ้อน และกว่า 3 ปีหลังจากเขาตายถึงได้มาเปิดเผย มิสเตอร์เอ็กซ์ก็ยังคงเป็นบุคคลปริศนาต่อไป พร้อมกับความลับดำมืดที่หายไปพร้อมกับการตายของเขาตลอดกาล
ขอบคุณข้อมูล สมาชิกหมายเลข 796356 http://pantip.com/topic/32399292