ค่านิยมที่คิดว่า การมี ผิวขาวผ่องออร่า จะทำให้ผู้หญิงสวยกว่าสาวผิวคล้ำ เห็นได้จากโฆษณาทางทีวี อินเตอร์เน็ต ขาวปุ้บผู้ชายตรึม! แม้จะออกมาเตือนกันไปไม่รู้ต่อกี่รอบ ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ขาวได้เฉียบพลัน ผลที่ตามมาย่อมอันตรายเสมอ แต่สาวๆ ผู้คลั่งความขาวก็ไม่เคยยอมฟัง แม้จะผิวพังก็ตาม เราลองมาดูข้อมูลย้ำเตือนกันตรงนี้อีกว่า สารตัวใดบ้างที่เร่งให้ผิวขาว แต่อันตรายอื้อซ่า!
สารเร่งขาวมรณะหมายเลข1 : ครีมผสมสารสเตียรอยด์
ล่าสุด สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยออกโรงเตือน จากกรณีเด็กนักเรียนได้หันมาใช้ครีมทาผิวขาวที่มีส่วนผสมของสารโคเบตาซอล (สเตียรอยด์) และเกิดอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะผิวหนังเกิดอาการไหม้ แตกลายสีขาว มีรอยแดง มีลักษณะเหมือนคนอ้วนหรือคนตั้งครรภ์นั้น ขอให้นักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป ควรระมัดระวังในการเลือกใช้ครีมทาผิวขาวเหล่านี้ ทั้งในส่วนที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป หรือตามเว็บไซต์ต่างๆ ขอให้หยุดการใช้ครีมเหล่านี้ทันที เนื่องจากสารโคเบตาซอล เป็นสเตียรอยด์ชนิดที่แรงที่สุด เอาไว้รักษาโรคผิวหนังอักเสบที่เป็นเรื้อรัง หรือเป็นผื่นหนา และมีคำเตือนเลยว่าห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 4 สัปดาห์ สารนี้จัดเป็นยาและไม่สามารถอยู่ในเครื่องสำอางได้ สารชนิดนี้ออกฤทธิ์ที่ผิวหนังถึงชั้นแท้และอาจเป็นผลถาวร ซึ่งผลของมันนอกเหนือจากการไปยับยั้งเม็ดสียังไปรบกวนเรื่องของการสร้างอิลาสตินคอลเจนของผิวหนังแล้ว ยังทำให้เกิดการแตกลายงาของผิวหนัง ทำให้ผิวบางและเส้นเลือดขยาย ถ้าไปทาที่หน้า หรือบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะจะทำให้เกิดสิวได้ ซึ่งรักษายากกว่าสิวทั่วไปด้วย และเมื่อผิวบางโดนอะไรจะแพ้ง่ายและมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย ครีมสเตียรอยด์มีประโยชน์ คือ แก้แพ้ แก้คัน แก้ผื่นผิวหนังอักเสบ บางคนพอใช้แล้วหน้าเรียบ ก็เลยใช้ต่อเนื่อง ถ้าใช้ช่วงสั้นๆ ไม่เป็นไร แต่ถ้าใช้นานๆ จะติด ไม่ใช้ไม่ได้ และเพิ่มความแรงของยาขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหาหยุดไม่ได้ พอหยุดผิวหนังจะอักเสบเห่อขึ้นมา รักษายาก
สารเร่งขาวมรณะหมายเลข2 : สารไฮโดรควิโนน ปรอท
"ครีมผิวขาวมรณะระบาดตลาด ชายแดนไทย-เขมร ลูกสาวนายตำรวจกัมพูชาตกเป็นเหยื่อใช้แล้ว ถึงช็อกตาย หลังเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเลยซื้อครีมเวียดนามในฝั่งปอยเปตมาพอกตัว พอทาได้ 2 ชั่วโมง เกิดแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ญาติต้องพาส่งโรงพยาบาล แต่อาการหนักเกิดหมดสติ ผิวลอกเป็นแผ่น พ่อติดต่อเจ้าหน้าที่ไทยข้ามมารักษาที่โรงพยาบาลใน จ.สระแก้ว แต่หมอไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ ระบุสาเหตุเกิดจากพิษสารปรอท ทำให้ตับวายเฉียบพลัน" ช็อกไหมล่ะคะ ทาได้เพียง 2 ชม.เท่านั้นเองก็สิ้นชีวิต ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เคยเป็นสารที่นิยมใช้กันมากในครีม หรือ โลชั่นป้องกันฝ้า ความเข้มข้นไม่เกินร้อยละ 2 สารนี้ออกฤทธิ์ลดการสร้างเมลานิน ในขั้นตอนแรกของการสร้างเมลานิน ผลคือลดการสร้างเมลานินของไฮโดรควิโนนเป็นเพียงชั่วคราว หากหยุดใช้จะกลับเป็นอย่างเดิมหรือเป็นมากกว่าเดิม ข้อดีคือ ไม่ทำลายเซลล์สร้างสี ไฮโดรควิโนนมักทำให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับกรดวิตามินเอ และหากใช้ไฮโดรควิโนนติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำ ดังนั้นไฮโดรควิโนนจึงถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง ปรอทแอมโมเนีย เคยเป็นที่นิยมใช้กันมากเช่นเดียวกับไฮโดรควิโนน ในครีมป้องกันฝ้าเรียกว่า ครีมไข่มุก โดยใช้ในอัตราส่วนไม่เกิดร้อยละ 3.0 ปรอทแอมโมเนียรบกวนเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase โดยรวมตัวกับโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ หรือโดยการจับกับไอออนทองแดงที่มีอยู่ในเอนไซม์ ทำให้ลดการสร้างเมลานิน การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี่สวนผสมของปรอทแอมโมเนียติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้มีการสะสมปรอทในผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้ตับและไตพิการ โรคโลหิตจาง
สารเร่งขาวมรณะหมายเลข3 : กลูต้าไธโอน กลูตาไธโอน (glutathione)
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย ในทางการแพทย์พบว่ามีการนำกลูตาไธโอนมาทดลองใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการอนุมัติข้อบ่งใช้จากองค์การอาหารและยา เช่น ภาวะเป็นหมันในเพศชาย ปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก วิธีการรักษามักทำโดยการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งที่น่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการฉีดกลูตาไธโอนนั้นมีสีผิวที่ขาวขึ้น เนื่องมาจากกลูตาไธโอนสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ได้ และส่งผลให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้พยายามนำผลข้างเคียงของยามาใช้ในการทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นการนำยามาใช้ในทางที่ผิดอีกรูปแบบหนึ่ง ผลิตภัณฑ์กลูตาไธโอนที่พบในท้องตลาดส่วนใหญ่นั้นเอยู่ในรูปยาเม็ดหรือผงละลายน้ำสำหรับรับประทาน ซึ่ง กลูตาไธโอนนี้สามารถถูกทำลายได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์ ดังนั้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการรับประทานกลูตาไธโอนในรูปแบบของยารับประทานนั้นแทบจะไม่มีเลย ที่ผ่านมาจึงพบว่ามีผู้พยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนการรับประทานกันมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่ากลูตาไธโอนชนิดฉีดนั้นมีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวได้ดีกว่าและเห็นผลเร็วกว่ากลูตาไธโอนชนิดรับประทาน ข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ มีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้สารกลูต้าไธโอน เอง หรืออาจจะแพ้ สารฆ่าเชื้อ หรือ สารกันเสีย หรือสารปนเปื้อน ขณะนี้มีรายงานในต่างประเทศว่าผู้ ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไธโอนขนาดสูงที่ใช้กันอยู่มีอาการช็อค ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ทว่า..ที่สำคัญการฉีดกลูต้าฯเข้าเส้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย!
สารเร่งขาวมรณะหมายเลข4 : ฉีดวิตามินซีเข้าเส้น
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ฮิตกันมานานแล้วในการฉีดวิตามินซีเข้าเส้นเลือด แม้แต่เพื่อนผู้เขียนยังเคยฉีดกันหลายคน พวกนางล้วนบอกว่า ผิวดูใสขึ้น ทั้งที่ในความเป็นจริง ผิวเหมือนเดิมเป๊ะ! มีคลินิกเสริมความงามดังๆ ให้บริการฉีดวิตามินซีเป็นคอร์สราคาเป็นหมื่น สาวๆ ที่เชื่อและไม่มีเงินไปซื้อคอร์สแพงๆ ก็ใช้วิธีสั่งซื้อทางเน็ต ไปฉีดกันเอง เพราะมีประกาศขายวิตามินซี ราคาถูกมาก ใครก็เข้าไปสั่งซื้อไปฉีดเองได้ เหมือนโฆษณาขายอาหารเสริมหลอกลวงที่ขายกันอย่างเปิดเผย เด็กสาววัยรุ่นมากมายมาที่คลินิกความงาม ซื้อวิตามินซีจากร้านทางอินเตอร์เน็ตให้หมอหรือพยาบาลฉีด เป็นวิตามินซีบรรจุหลอดในแผง 10 หลอด เธอเล่าว่า เพื่อนไปฉีดที่คลินิกครั้งละ 2 หลอด เข้าเส้นเลือดดำ เสียค่าฉีดให้หมอครั้งละ 50 บาทเท่านั้น การใช้วิตามินซีที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์รองรับมีเพียงอย่างเดียวคือ รักษา และป้องกันการขาดวิตามินซี รวมทั้งภาวะ ลักปิดลักเปิด หรือ เลือดออกตามไรฟัน ไมได้ช่วยเรื่องผิวขาว ดังนั้นต้องเข้าใจกันเสียก่อนว่า การฉีดอะไรก็ตามเข้าเส้นเลือดดำ มันเสี่ยงมากกับชีวิต! เพราะฉีดยาในอัตราที่เร็วเกินไป การติดเชื้อในกระแสเลือดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาดเ การเกิดฟองอากาศอุดตันหลอดเลือดเนื่องจากผู้ฉีดยาไล่ฟองอากาศในเข็มฉีดยาไม่หมด เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ที่ได้รับยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
สารเร่งขาวมรณะหมายเลข5 : คอลลาเจนผง
"ดื่มแล้วผิวเนียนกระจ่างใส ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน ลองดูก่อน 7 วัน" บวกกับดาราหน้าใสกิ๊กถือกล่องคอลลาเจนผงถ่ายลงอินสตราแกรม ดาราหน้าสวยผิวใสการันตีขนาดนี้ใครจะไม่เชื่อบ้างล่ะ การกินคอลลาเจนไม่ได้ช่วยเรื่องผิวพรรณเลย เว้นแต่ว่าคุณต้องได้รับคอลลาเจนผ่านการฉีด หรือใช้เครื่องมือพิเศษผลักไออนนำคอลลาเจนเข้าไป หรือร้อยไหม, ยิงเลเซอร์บางตัวเข้าไป เพื่อกระตุ้นให้คอลลาเจนตื่น "คอลลาเจนมันคือ ตั้งแต่ผม เล็บ เนื้อ หนัง กล้ามเนื้อ ล้วนเป็นคอลลาเจน สรุปง่ายๆ คอลลาเจนคือ เนื้อตัวเรา จริงๆ แล้วก็คือโปรตีน มันก็มีอยู่ในสัตว์อื่นๆ ทั้งหลาย ทีนี้เวลาที่สกัดคอลลาเจนมา มักจะโฆษณากันว่า คอลลาเจนผงจากปลาทะเลน้ำลึก หรือไม่ก็คอลลาเจนบริสุทธิ์ พวกเค้าต้องมีกิมมิค (gimmick) ให้ดู precious เป็นของล้ำค่า คอลลาเจนจากหอยเป๋าฮื้อ จากหอยมุก จากไข่ปลาคาเวียร์ เมื่อก่อนมีมาคอลลาเจนจากญี่ปุ่นที่มาใส่ในหม้อไฟ เรียกกันว่า กินคอลลาเจนสดๆ แต่พอแปรรูปเป็นผง ซึ่งพวกเราไม่มีทางรู้เลย ผสมแป้งไหม มีสารปนเปื้อนอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ส่วนใหญ่เน้นชูธงว่า เป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก
ดังนั้นข้อเสียอย่างแรกคือ แพ้ หากกินแล้วรู้สึกคลื่นไส้ ถือว่าเป็นระดับอนุบาล แต่ถ้าแพ้รุนแรง จะบวมเป็นผื่นขึ้น ถึงขั้นแน่นหน้าอก หลอดลมตีบ หายใจไม่ออกได้เลย ยิ่งคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก คนที่แพ้อาหารทะเล กินคอลลาเจนชนิดนี้ไม่ได้นะ เพราะจะเกิดอาการแพ้รุนแรง เตือนคนที่แพ้อาหารทะเล ต้องดูที่มาของคอลลาเจนด้วย
ข้อเสียที่สองเป็นของแถม ได้แก่ สารปนเปื้อน อย่างที่บอกถ้าเป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก มักจะมีพวกโลหะหนักที่ติดมาจากทะเลน้ำลึก ได้แก่ พวกตะกั่ว ปรอท หรือพวกสารปนเปื้อนอื่นๆ"
ข้อเสียที่สาม ถ้ากินทุกวัน ไตทำงานหนักแน่นอนเลยครับ เพราะคอลลาเจนผ่านทางไต มันจะทำให้ไตทำงานเหนื่อยมาก นอกจากข้าวประจำวัน ยังต้องมาทำงานล่วงเวลาขับคอลลาเจนอีก ดังนั้นใครที่มีปัญหาเรื่องไต เป็นโรคไต ไม่ควรกิน รวมทั้งคนที่อยากสวยแต่อายุเยอะแล้ว ต้องระวังมากๆ
"ถามว่าทำไมคอลลาเจนผงถึงกำลังเป็นที่โด่งดัง คงจะเป็นเรื่องของการมาร์เก็ตติ้งมากกว่าครับ" นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าว
ขอบคุณที่มา ::::: manager วันที่ 11 ตุลาคม 2556
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000127888