ชาวฮินดีเชื่อกันว่าศิลาชนิดนี้เป็นของ ศักดิ์สิทธิ์ที่พระวิษณุประทานลงมา ยังโลก บ้างก็กล่าวว่าเป็นมูรติหนึ่งของพระวิษณุเลยก็มี โดยตำนานกล่าวว่าพระลักษมีนั้นแบ่งภาคลงมาเป็นต้นกะเพราหรือเทวีตุลสี ขึ้นอยู่ที่ริมแม่น้ำคัณฑกี แล้วพระวิษณุจึงแบ่งภาคตามลงมาในรูปศาลีคราม
ศาลี ครามถือเป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์เพราะมีลายคล้ายกับจักรสุทรรศน์อันเป็น สัญลักษณ์หนึ่งของพระวิษณุคู่กับสังข์ ดังนั้นชาวอินเดียจึงมักนำของสามสิ่งอันได้แก่ ศาลีคราม สังข์และกะเพรามาบูชาร่วมกันเรียกว่า "ศิลา มูรติ"
ชาวอินเดียบางส่วนเชื่อว่าผู้ใดที่ได้ครอบครองทั้ง 3 สิ่งนี้ร่วมกันแล้วจะได้รับความคุ้มครองและการอวยพรจากพระวิษณุและพระลักษมี ให้ปราศจากเรื่องเลวร้ายทั้งปวง อีกทั้งจะนำมาซึ่งความร่ำรวยและโชคที่ดีต่างๆ นานา
โดยเฉพาะในทาง โหราศาสตร์เอง ก็เชื่อว่าศาลีครามนั้นเป็นศิลาวิเศษสามารถป้องกันภัยจากการส่งกระแสร้ายของ ดาวเสาร์ได้ดีอีกด้วย
เนื้อหินที่หุ้มฟอสซิลของหอยแอมโมนอยด์นั้นจะมีด้วยกัน 2 สีที่นิยมนำมาบูชา หรือพกติดตัวคือ เนื้อหินสีแดงอันเป็นศาลีครามที่มีราคาแพง กับเนื้อหินสีดำที่มีราคาถูกกว่า แต่ท่านผู้อ่านจะหามาครอบครองในแบบไหนก็ได้ เนื่องจากมีสรรพคุณเหมือนกัน
การบูชาหรือสวมใส่ศาลีครามไว้กับตัวนั้นจะช่วยให้ท่าน ปลอดภัยจากภัยร้ายต่างๆ, ป้องกัน ผลร้ายของดาวเสาร์เมื่อดาวเสาร์โคจรมาทับหรือเล็งลัคนา หรือเมื่อดาวเสาร์โคจรมาทับพระจันทร์ในดวงชะตากำเนิด, จะช่วยให้กิจการประสบความสำเร็จได้โดยง่าย, ทำให้ร่ำรวยในทรัพย์สิน และเป็นที่โปรดปราณของพระวิษณุและพระลักษมีเทวี
ดังนั้นท่านใดที่เป็นนักสะสมหินมี ค่าก็ไม่ควรพลาดที่จะสะสมสาลีครามไว้ใน ครอบครองนะครับ แต่เวลาเลือกซื้อนั้นต้องสังเกตให้ดีกันสักหน่อย เนื่องจากในสมัยนี้มีของปลอมทำเลียนแบบออกมามาก
วิธีดูก็ให้ สังเกตดูว่าเนื้อ ของศาลีครามนั้นสวยดูเรียบงามเกินไปหรือไม่ เนื่องจากเขาจะใช้วิธีนำหินนั้นมาผ่าแล้วแกะสลักให้เป็นรูปวงของเปลือกหอย ซึ่งตามธรรมชาติของสัตว์ทุกชนิดแล้วย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่าแต่ละข้างของ สิ่งมีชีวิตนั้นจะไม่สมดุลหรือเท่ากันพอดี อีกทั้งยังจะต้องมีร่องรอยของความเป็นฟอสซิลร่วมประกอบอยู่ด้วยนะครับ
ขอบ คุณบทความจากhttp://www.horamahawej.com/content.php?cate=gem&id=9
โดย กาลปุตรา