มีบทพิสูจน์อีกครั้งแล้วว่าพลังลมเป็นพลังงานทางเลือกอันดับหนึ่งสำหรับอนาคต เพราะนอกจากจะเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่มีวันหมดแล้ว มันยังมีประสิทธิภาพมากพอทำให้รถยนต์วิ่งได้ไกลหลายพันกิโลเมตร
รถยนต์ wind-explorer มีลักษณะคล้ายรถแข่งเปิดประทุนคันเล็กแบบ 2 ที่นั่ง เป็นรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานลมเป็นหลักและใช้ว่าวเมื่อกระแสลมแรงพอ มันเพิ่งเสร็จสิ้นการวิ่งระยะทาง 4,971 กม.รอบออสเตรเลียเป็นเวลา 18 วัน กลับถึงนครซิดนีย์ช่วงกลางเดือนนี้ หลังเริ่มออกเดินทางตั้งแตปลายเดือนที่แล้ว และได้ทำลายสถิติโลกถึง 3 ประเภท ได้แก่ รถยนต์พลังลมคันแรกที่วิ่งข้ามทวีป รถยนต์พลังลมที่วิ่งได้ระยะทางไกลที่สุด และรถยนต์พลังลมที่วิ่งได้ไกลที่สุดภายในเวลา 36 ชม.
รถยนต์สร้างขึ้นโดยเดิร์ค เกียน และ สเตฟาน ซิมเมอเรอ ชาวเยอรมนี ตัวถังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ล้อใช้ล้อจักรยาน ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน รถยนต์มีน้ำหนักเบาเพียง 200 กก. โดยเฉพาะตัวถังหนักแค่ 90 กก แบตเตอรี่จะประจุไฟทุกคืนด้วยกังหันลมแบบพกพาได้ที่ประกอบเข้ากับเสาสูง 6 เมตรทำจากไม้ไผ่ ซึ่งเก็บซ่อนไว้ในตัวรถ และใช้เวลาติดตั้งแค่ครึ่งชั่วโมง และช่วงกลางวันหากลมแรง ก็จะใช้พลังงานจากว่าวที่เหมือนกับร่มพาราเซล แต่ช่วงที่ไม่มีลม ก็เสียบปลั๊กชาร์จไฟ ทำให้ตลอดการเดินทางเสียค่าไฟไป 15 ดอลลาร์หรือราว 450 บาทเท่านั้น
รถยนต์สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่ 80 กม./ชม. และวิ่งได้ระยะทางมากที่สุดในหนึ่งวันคือ 493 กม. และเมื่อรวมตลอดระยะทางแล้ว รถยนต์ wind explorer คันนี้ใช้พลังงานจากลมเป็นระยะทาง 2,240 กม. ว่าวอีก 480 กม. และไฟฟ้า 2,251 กม. นอกจากนี้ยังไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใดๆ รวมทั้งไม่มีเสียงรบกวนของเครื่องยนต์ด้วย
สองหนุ่มผู้สร้างรถยนต์คันนี้ บอกว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงต้องการสร้างแรงบันดาลใจสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน และเกียน ยอมรับว่า wind explorer ยังไม่สามารถใช้งานได้จริง แต่หวังว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้ารถยนต์พลังลมจะพัฒนาถึงระดับที่สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน