ประวัติ HIP-HOP
ในช่วงปลายปี1960ซึ่งเป็นช่วงจุดอิ่มตัวของเพลงยุค ’60 คนเริ่มที่จะหาแนวเพลงใหม่ๆที่ฉีกออกไปและก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ Kool Herc หนุ่มชาวจาไมกาที่ย้ายมานิวยอร์คพร้อมกับนำดนตรีสไตล์จาไมกาเข้ามา จุดเด่นของเค้าก็คือการเปิดเพลงพร้อมกับท่อนร้องสดๆควบคู่กันซึ่งก็ได้รับ ความนิยมขึ้นเรื่อยๆ จนมาวันนึง Kool Herc พบว่าเพลงบางเพลงสามารถทำให้คนเต้นรำกันได้อย่างสนุกสนานแต่มีช่วงเวลาที่ น้อยไป เขาจึงนำเครื่อง Turntable มา2ตัวแล้วเปิดเพลงเดียวกันแต่สลับกลับไปกลับมาทำให้เกิดการ Mixing ขึ้นเป็นครั้งแรกซึ่งต่อมา Kool Herc ได้รับการยอมรับว่าเป็น DJ คนแรกของโลก
เพลงฮิพฮอพนั้น ค่อนข้างมีที่มาที่แตกต่างจากเพลงแนวอื่นตรงที่ คนผิวดำนั้นตีกรอบให้เพลงแนวนี้บรรยายถึงสิ่งเลวร้ายในชีวิตของพวกเค้าเอง เพื่อกีดกันไม่ให้คนผิวขาวเอาเพลงของเค้าไป
พวกเค้าสร้างสังคมกลุ่มใหม่ขึ้นมาทั้งการแต่งตัว, การเต้นรำ, วิถีชีวิต, แก๊งค์และยึดถือปฎิบัติกันใน 4Element ซึ่งได้แก่ MC, B boy, Graffiti, DJ
MC คือคนถือไมค์ร้องแร็พสไตล์ที่ด้นกันแบบกลอนสดในบ้านเรา ส่วนใหญ่จะด่าอีกฝั่งนึง ใครสมองไว แร็พเนื้อเจ๋งกว่าอีกฝ่ายก็จะชนะ
B boy คือกลุ่มนักเต้นเท้าไฟในแบบเบรกแดนซ์โดยเน้นกัน2ด้านคือ พละกำลังกับความยากของท่า ท่าที่โชว์พละกำลังก็อย่างเช่นเอามือยันพื้นขาชี้ฟ้าแล้วเอนไปข้างหลังให้ นานที่สุดเพื่อดูความแข็งแรงของข้อมือ ส่วนความยากของท่าก็อย่างเช่นตีลังกา3ตลบก่อนจะมาหมุนหัวอีก20รอบอะไรเงี๊ยะ
Graffiti คือนักพ่นกำแพงเป็นข้อความหรือรูปที่มีสีสันลวดลายบาดตา
DJ ก็คือคนทำหน้าที่เปิดแผ่นซึ่งจะมีการวัดสกิลกันด้วยการดวลสแคชด้วย
ว่ากันว่างานฮิพฮอพจะขาดปัจจัยทั้ง4นี้ไม่ได้ แต่ด้วยปัจจุบันเพลงฮิพฮอพถูกนำไปเปิดในคลับแทนที่จะเป็นข้างถนนจึงทำให้ B boy กับ Graffiti มีบทบาทน้อยลง
ส่วนMexican นักสู้เข้าไปแสวงโชคในอเมริกาก็มีทั้งประสพความสำเร็จและไม่สำเร็จ
***ที่ไม่สำเร็จก็มีเยอะลูกหลานเยอะ เลยรวมกลุ่มกันเป็นแก๊งค์ก๊วนเพื่อกันคนรังแก
โกนหัวเพื่อลดจุดอ่อนเวลาต่อยตี แต่ไหงกลายเป็นแฟชั่นไปได้
ที่สีน้อยไม่ฉูดฉาดก็อาจเป็นเพราะเป็นการสร้างยูนิฟอร์มให้กับกลุ่มตัวเอง
ดูได้จากหนังคนคุกสมัยก่อน จะมีหนังคนคุ๊กที่เป็นพวก Mexican เยอะอยู่นะ
สุดท้ายมันก็เป็นแฟชั่นน่ะ สำหรับบ้านเรา ไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนเค้านี่
แต่งแบบไหนก็ได้ มั่นใจๆและเป็นตัวเอง เจ๋งสุด
=================================================
ประวัติ hip-hop
Hiphop History
อย่างที่สัญญากันครับว่าจะไปนำประวัติของแนวเพลงฮิพฮอพมาลงให้อ่านกันซึ่งผมคิดว่ามีหลายอย่างที่น่าสนใจและน่าศึกษาเพราะเพลงแนวนี้เด่นตรงที่สร้างวัฒณธรรมของตัวเองขึ้นมาและแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ อะไรคือสิ่งที่ทำให้เพลงแนวนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง? ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ? ปัญหาความรุนแรงเกิดจากอะไร? เราไปติดตามพร้อมๆกันครับ
ในช่วงปลายปี1960ซึ่งเป็นช่วงจุดอิ่มตัวของเพลงยุค ’60 คนเริ่มที่จะหาแนวเพลงใหม่ๆที่ฉีกออกไปและก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ Kool Herc หนุ่มชาวจาไมกาที่ย้ายมานิวยอร์คพร้อมกับนำดนตรีสไตล์จาไมกาเข้ามา จุดเด่นของเค้าก็คือการเปิดเพลงพร้อมกับท่อนร้องสดๆควบคู่กันซึ่งก็ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ จนมาวันนึง Kool Herc พบว่าเพลงบางเพลงสามารถทำให้คนเต้นรำกันได้อย่างสนุกสนานแต่มีช่วงเวลาที่น้อยไป เขาจึงนำเครื่อง Turntable มา2ตัวแล้วเปิดเพลงเดียวกันแต่สลับกลับไปกลับมาทำให้เกิดการ Mixing ขึ้นเป็นครั้งแรกซึ่งต่อมา Kool Herc ได้รับการยอมรับว่าเป็น DJ คนแรกของโลก
นอกจากนั้น Kool Herc ยังเป็นคนริเริ่มคำร้องต่างๆอย่างเช่น “ Throw your hand in the air / and wave ‘em just like ya don’t care” ซึ่งเมื่อก่อนเรียกกันว่า “Mcing” ก่อนจะกลายมาเป็น “Rap” ในปัจจุบัน. หลังจากนั้น Kool Herc ก็มอบหน้าที่แร็ปให้กับเพื่อน2คนคือ Coke la rock และ Clark
จากนั้นในปี 1975 Grand Wizard Theodore ก็ค้นพบเทคนิกการ Scratching อย่างบังเอิญขณะกำลังเล่นอยู่ในห้องนอนของตัวโดยเกิดจากการดึงแผ่นกลับไปกลับมาทำให้เกิดเสียงแปลกๆขึ้น. จากนั้นเค้าเริ่มทดลองดูกับแผ่นอื่นๆจนได้เสียงที่คนฟังเข้าใจและนำมาแสดง. และก็ได้รับรางวัลจาก International Turntable Foundation ในฐานะผู้คิดค้นการ Scratch
ช่วงนั้นเริ่มมีการออกอัลบั้มฮิพฮอพขึ้น และ1ในนั้นคือ “Rapperdelight” ของ the Sugar Hill สามารถขายได้ถึง2ล้านก้อปปี้ทั่วโลก และยังถูกวางเป็นรากฐานของเพลงฮิพฮอพมาจนถึงทุกวันนี้
ปี1983 ซิงเกิ้ล “White line(don’t do it)” ของ Grand Master Flash ร่วมกับ Melle Mel ซึ่งเป็นเพลงแอนตี้การใช้โคเคน ก็ดังกระหึ่มไปทั่วโลกและผลักดันให้แนวเพลงฮิพฮอพหลุดจากตลาดอันเดอร์กราวน์ขึ้นมาเทียบแนวอื่นอย่างสง่าผ่าเผย
ต่อมา กลุ่มคนจากเยอรมันในนาม “The Kraftwork” ได้นำแนว Africa Bombata เข้ามาเผยแพร่ด้วยซิงเกิ้ล “Trans-Europe Express” ซึ่งเป็นเพลงแร็ปที่มีเสียง Electronic แทรกอยู่ เพลงอย่าง “Planet rock” ที่ร่วมงานกับ Soul Sonic ก็ขายในอเมริกาได้ถึง 620,000 ก้อปปี้ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของเพลงแนวฮิพฮอพอย่างแท้จริง, วัฒนธรรมฮิพฮอพทั้ง ทีมMC, นักพ่น Graffiti, B-Boy เริ่มถือกำเนิดขึ้น
ในปี 1984 วงRun D.M.C. ก็จุดประการวัฒนธรรมการแต่งตัวของชาวฮิพฮอพโดยมาพร้อมกับชุดกีฬาและสร้อยทองเส้นโตซึ่งต่อมาเรียกกันว่าการแต่งตัวแบบ “Streetstlye”. เพลงอย่าง “My Adidas” ที่ร้องถึงรองเท้าคู่โปรดทำให้ Run D.M.C.เป็นนักร้องฮิพฮอพกลุ่มแรกที่มีสปอนเซอร์เพราะ Adidas ยอมจ่ายเงินเป็นจำนวนเลข6หลักซึ่งถือว่ามากในสมัยนั้นเพื่อให้ใส่ชุดของพวกเค้าตั้งแต่หัวจดเท้าเลย
ปีต่อมา กลุ่ม Rapperอื้อฉาว จากไมอามี่นาม 2 Live Crew ก็ทำเอาแตกตื่นด้วยเนื้อหาที่เน้นขายเรื่องใต้สะดือเป็นหลักเกือบทั้งอัลบั้มจนมีข่าวถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลและจั่วหัวหน้า1ไปทั่วประเทศกับอัลบั้ม “As nasty as they wanna be” หลังจากมีการฟ้องร้องกันไปพวกเขาก็ยังไม่เข็ดแต่กลับจัดทัวร์คอนเสิร์ตเรต R และออกอัลบั้ม “Banned in the U.S.A.” อีกแต่แล้วก็ค่อยๆเงียบหายไปโดยทิ้งเพลงอย่าง “Me so horny” ไว้ให้นึกถึง
1986 เพลง “Fight for your right to party” ของ the Beastie boys กลายเป็นเพลงโปรดของบรรดาเหล่าวัยโจ๋หัวดื้อทั้งหลายทั่วโลก และด้วยเหตุที่สัญลักษณ์ของพวกเค้ามีลักษณะคล้ายโลโก้ที่ติดอยู่หน้ารถ Volkswagon จึงถูกวัยรุ่นขโมยแกะออกมาจากรถระบาดไปทั้งอเมริกาและยุโรป
ถัดมาอีกปี the Beastie boys ค้นพบหนุ่มผู้มีพรสวรรค์นาม LL Cool J นำมาขัดเกลาออกซิงเกิล “I need love” ในสไตล์เสียงร้องนุ่มๆเซ็กซี่ๆ จนเป็นที่มาของเพลงแนว Rap&Ballad หรือ R&B ในยุคแรกๆและเพลงนี้ก็ขึ้นถึง European top10 ส่วนตัวของ LL Cool J เองก็ขึ้นทำเนียบเป็น Superstar รุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการมายาวนานที่สุดและยังคงทำเพลงในสไตล์ตัวเองอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ปี1988 “NWA” ที่มีสมาชิกในกลุ่มคือ Ice Cube(คนก่อตั้ง), Dr Dre, DJ Yella, MC Ren และ Eazy-E ถูกกล่าวขวัญกันอย่างแพร่หลายด้วยแนวเพลงที่มีเนื้อหารุนแรงเกี่ยวข้องกับยาเสพติด, ปืน พูดถึงการตายอย่างน่าเศร้าของเด็กวัยรุ่นผิวดำที่เข้าไปพัวพันกับแก๊งอิทธิพลและพวกพ่อค้ายาทำให้คนอเมริกันต้องเหลียวมามองสังคมเหล่านี้
เพลง “f**k the police” ที่เหล่า N.W.A. อ้างว่าแค่พูดในสิ่งที่เห็นถึงการทำงานของตำรวจนอกรีตใน L.A. ทำให้ F.B.I. ยื่นมือเข้ามาสืบสวน, คลื่นวิทยุและโทรทัศน์ล้วนแต่กระหน่ำเปิดเพลงของพวดเค้า ซิงเกิ้ล “Straight Outta Compton” ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำในเวลาเพียงแค่6อาทิตย์หลังโปรโมท
แม้ว่าพวกเค้าจะแยกย้ายกันไปเพื่อทำงานเดี่ยวของตัวเอง แต่NWA ก็ยังถูกยกให้เป็น Gangsta Rapper ที่ดังที่สุดเท่าที่เคยมีมาอยู่ดี
โพสต์โดย
p-ton-dz
18 ธ.ค. 53 เวลา 14:11
886 1