ในความเป็นวิทยากรอบรมพนักงาน งานหนึ่งของผม คือคิด วิเคราะห์ ปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วนำองค์ความรู้เข้าประกอบ เพื่อทำเป็นหลักสูตรอันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนและองค์กร มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิดและเชื่อว่า “ถ้าคนเรามีความสุข ย่อมทำงานได้ดีขึ้น” มันน่าจะเป็นปัจจัยที่ตรงไปตรงมา เพราะในทางตรงกันข้ามคนที่มีความทุกข์อยู่ คงยากจะทำงานได้ดีกว่า แต่ทีนี้เราจะทำให้พนักงานเหล่านั้นมีความสุขได้อย่างไร? มันเป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียว..
ด้วยหน้าที่ของผม การที่มีเวลาบรรยาย, พูด หรืออบรมประมาณ 6 ชั่วโมงเท่านั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ใครมีความสุข พนักงาน 20-30 หรือเป็น 100 คนจะเปลี่ยนแปลงใครได้ในทันทีนั้น แน่นอนว่า ไม่มีทาง.. ทว่าถ้าไม่มีวันที่ 1 วันที่ 2 ก็ไม่มีวันตามมา หรือถ้าไม่เริ่ม ก็ไม่มีวันเกิดขึ้น
ผมจึงทำหลักสูตรที่พยายามสร้างวันที่ 1 หรือวันแรกของการเริ่มต้น หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เพื่อให้เขามีความสุขขึ้นกว่าเดิม ด้วยหลักสูตรที่มีหัวข้อ เปลี่ยนทัศนคติ และพัฒนาตนเอง (ไม่ใช่ชื่อหลักสูตรนะครับ ไม่อยากขายของตรงนี้) ซึ่งหลังจากเริ่มเปลี่ยนทัศนคติ, ความคิดแล้ว ที่เหลือก็ต้องแล้วแต่บุคคลนั้น ๆ แล้วล่ะ ว่าจะทำได้ไหม..
กระนั้นแล้วก็ไม่ง่ายอยู่ดี ก่อนจะเปลี่ยนทัศนคติไปในเชิงสร้างสรรค์ มันก็ต้องลบล้างทัศนคติในเชิงลบ, ไม่ก้าวหน้า เชิงบ่อนทำลาย หรือให้เขามีมุมมองในการแก้ปัญหาชีวิตที่เวียนซ้ำ ให้ได้ก่อน จึงมีหัวข้อใหญ่ในหลักสูตรทำนองว่า “ถ้าเราจัดการปัญหาชีวิตได้ เราก็ไม่ทุกข์ และสุขจะตามมาเอง” คุณคงพอเห็นด้วยกับผมว่าถ้าไม่ทุกข์ เราก็สุขมากแล้วจริงไหมครับ
ในหลักสูตรผมจึงแสดงให้เห็นว่า คนเราทุกข์จริง ๆ อยู่ 3 เรื่องใหญ่ 1. ความสัมพันธ์ 2. การเงิน และ 3. การงาน เพียงข้อเดียวก็ทำให้คนนั้นไม่มีความสุขได้ แต่เชื่อว่า ถ้าลำดับความหนักเบา มันก็น่าจะเป็น 1 – 2 – 3 ในที่นี้ว่ากันโดย “ส่วนใหญ่” นะครับ
และก็คนส่วนใหญ่เช่นกัน ไม่ได้ต้นเหตุทุกข์ทีเดียว 3 เรื่อง ทว่า การมีทุกข์ 1 ใน 3 นี้ สามารถไปกระทบ เชื่อมโยงไปยังอีก 2 ข้อได้ไม่ยากเลย..
ข้อ 1 กับ 2 ในด้านความสัมพันธ์ และการเงิน หลายคนคงเห็นพ้องว่าถ้าจัดการไม่ได้มีปัญหา มันทุกข์แน่นอน แต่ข้อ 3 ในด้านการงาน เราอาจคิดว่าไม่น่าจะเรื่องใหญ่ เพราะถ้ามีเงิน (ข้อ 2) แล้ว ปัญหางานคงเป็นเรื่องเล็ก นี่ก็บ่งบอกถึงทัศนคติที่ผิดประการหนึ่ง จริงอยู่ว่าการมีเงินอาจช่วยจัดการอะไรได้หลายอย่าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่ร่ำรวยก็มีทุกข์จากการทำงานได้อยู่ดี ถ้าทัศนคติไม่ผิดพลาดก็คงยังไม่เข้าใจว่าอย่างไรมันก็ต้องคู่กัน คนที่ไม่ผ่านความความสำเร็จจากการทำงาน จะมีรายได้ดีได้อย่างไร ในทางตรงกันข้าม คนจะไม่มีทุกข์จากเงิน ย่อมเกิดจากการทำงานที่ดี จะอย่างไรก็ได้ ไม่เช่นนั้นจะเหมือนคำถาม ไก่ กับ ไข่ อะไรเกิดก่อนกัน เว้นเสียแต่ว่าคิดแบบหวังรวยทางลัด อาจเข้าใจไปเองว่า มีเงินก็จะไม่ต้องเครียดเรื่องงาน บางที “งาน” ก็ไม่ใช่เพื่อเงินอย่างเดียวด้วยนะ..
ทุกข์เพราะความล้มเหลวจากงาน และทุกข์ในงานคือผลาญเวลาแห่งสุขมากมาย
มีหลายเรื่องราวที่พิสูจน์ให้เห็นว่า คนที่สำเร็จ ร่ำรวยไม่ได้มองแต่ความรวยเป็นเป้าหมายแรก จากสิ่งที่เขาทำ เขามองผลงานและความก้าวหน้าในงานนั้น เงินตามมาเองต่างหาก และบางทีก็ไม่รู้ว่าเงินจะตามมาไหม แต่เขาก็ต้องไปให้ถึงเป้าหมายก่อน ระหว่างทางสิ่งเหล่านี้เองหากไม่สำเร็จ มีอุปสรรค มันก็ทุกข์ได้ เรียกว่าทุกข์จากงานแบบแรก
อย่างไรก็ตาม แบบที่สอง ทุกข์จากการทำงานทั่ว ๆ ไปมันก็มี เพราะชีวิตการทำงานของหลายคนนั้นมัน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 1 ใน 3 ของเวลาชีวิต มันมากมาย เพราะอีก 8 ชั่วโมงคือนอนหลับ ดังนั้นมันครึ่งของชีวิตแต่ละวัน ซ้ำบางคนอยู่กับงานมากกว่าให้เวลาครอบครัว ถ้างานไม่มีสุข เขาก็มีชีวิตที่ทุกข์.. ทุกวัน เพียงแต่ลืมคิดไปว่า แต่ละวันทิ้งเวลาไปเท่าไหร่กับทุกข์นั้น ทุกข์นี้คือการผลาญเวลาที่จะสุขไปมากมาย
และทั้งสองแบบนั้น ไม่เกี่ยวด้วยว่าฐานะการเงินคุณเป็นอย่างไร มันทุกข์ได้เท่ากัน แต่อย่าลืมว่า ในที่นี้ผมตีความเพื่อทำหลักสูตรบนเนื้อหาของ “ทุกข์พนักงานแบบมนุษย์เงินเดือน” ไม่ใช่สำหรับทุกคน
เล่าเรื่องหลักสูตรมาเสียยาว จากประสบการณ์ของผม แม้ว่าการอบรม จะสามารถจุดความคิด เปลี่ยนทัศนคติต่อ 3 สิ่งนั้น ให้พอเห็นทางแห่งทุกข์ ให้เขามอง เขาตระหนักในมุมใหม่ ๆ ได้ ทว่าด้วยความบังเอิญผมก็พบว่า พอถึงจุดหนึ่ง เขาก็พ่ายแพ้ต่อตัวเองได้ง่ายเช่นกัน..
ตัวอย่างที่ผมบังเอิญประสบชัดเจน คือ ด้านการเงิน การสร้างภาระอย่าง ความอยากเปลี่ยนมือถือ ในตอนที่ไม่จำเป็น เขาอยากผ่อนใหม่ ในขณะที่สถานะการเงินยังไม่แน่นอน..
ซึ่งเรื่องราวนี้ เกิดจากเหตุการณ์จริง ผมได้เห็นจากบุคคลหนึ่งที่เคยผ่านการฟังหลักสูตรนี้ของผมไปแล้ว แม้จะตั้งใจฟังหรือไม่ตั้งใจฟังทั้งหมดก็ตาม แต่เขาก็ได้เข้าใจการจัดการเงินไปพอสมควร ผมไม่ได้ผิดหวัง หรือไม่มีสิทธิ์จะไม่พอใจในการกระทำของเขา ซ้ำเขายังทำให้ผมเห็นอีกด้วยว่า ปัญหาอะไรที่ผมไม่ได้พูดถึง หรือลืมนึกถึง นั่นคือ..
หลายคนชีวิตไม่อยู่ในขั้นทุกข์ หรือพอพ้นทุกข์ แต่ก็จะหาความสุขไม่เป็น..
การที่คนเราไม่มีทุกข์ หรือทันทีที่พ้นทุกข์สิ่งที่เราทำคือ ย่อมอยากหาความสุขมาชดเชย เสมือน เหนื่อยมาแล้วก็อยากพัก แต่ทว่า หลายคนกลับหาความสุขไม่เป็น..
และเมื่อหาความสุขไม่เป็นแล้ว ความสุขนั้นจึงนำทุกข์กลับมาสู่เขาแบบวนซ้ำ เช่น การที่คนในตัวอย่าง ต้องการซื้อ-ผ่อนสิ่งของ แน่นอน ทุกคนย่อมมีความสุขเมื่อ “ได้มา” ในสิ่งที่ต้องการ แต่เขาลืมบางอย่างไป เช่น ครั้งก่อนที่เขาได้มือถือเครื่องปัจจุบันมา เขาก็อยากแบบนี้ แล้วก็สุขที่ได้มา แล้วมันก็เท่านั้น.. เพราะวันนี้เขาก็อยากเปลี่ยนอีกแล้ว ย้ำว่า เปลี่ยนโดยยังไม่จำเป็น และเขายังลืมอีกว่า ตอนนี้เขาคิดว่าการเงินเขา “กำลังจะคล่อง” จึงพยายามกำลังทำให้มัน “ไม่คล่อง” อีกครั้งหรือ? นี่เขากำลังทำอะไรกับตัวเองอยู่?
การเงินกำลังคล่อง ก็เลยทำให้มัน “ไม่คล่อง” อีกครั้ง!?
ดังที่กล่าวไป หากมองอย่างเข้าใจเขาแค่ “อยากมีความสุข” กับสิ่งที่เขาจะได้ มันไม่ผิดเลย คนเราใคร ๆ ต่างอยากมีความสุข เพียงแต่หลาย ๆ กรณีเรา “หลอกตัวเองด้วยว่าจำเป็น” หรือจะทำให้สุข จะรู้ได้อย่างไร? ก็ถ้าหากความสุขนั้นมันไม่จริง มันก็คือสิ่งที่จะมีผลตามมา..
อีกประการที่หลายคนเป็น มีประโยคเป็นคำขวัญหลอกตัวเองว่า “ก็ไม่ได้ทำใครเดือดร้อน” เช่น การดื่มเหล้าเป็นกิจวัตร การเที่ยวสังสรรค์ การมีกิ๊ก การซื้อเกินตัว การพยายามมีชีวิต เพียงเพื่ออวดคนอื่น และเขามองแค่ว่า ตราบใดที่เขาสุขโดยไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน… มันไม่ผิดอะไร ซึ่งถูกต้องอยู่เหมือนกัน และที่จริงก็นับว่าเป็นคนดีนะครับ
ปัญหาไม่ใช่แค่พ้นทุกข์ แต่เพราะยังหาสุขไม่เป็น..
ทว่า บ้างครั้งคนที่เดือดร้อนคือตัวเขาเอง เขาทำร้ายตัวเอง เขารักตัวเองไม่มากพอ แม้จะไม่ทำร้ายคนอื่นก็ตาม แต่ก็ไม่ผ่านปมลึกตัวเองบางอย่าง จึงต้องหาความสุขด้วยการบ่อนทำลายตัวเอง วนซ้ำไปเรื่อย ๆ..
ถ้าคุณมีฐานะมากพอ การซื้อของจะไม่เรียกว่าเกินตัว นี่ย่อมไม่ทำร้ายตัวเอง ถ้าคุณยังโสด คุณมีสิทธิ์เลือกความสัมพันธ์ เพราะเรื่องความสัมพันธ์ซับซ้อน บางทีมันก็พิเศษจริง ๆ ก็อาจยกเว้น หรือกรณีคุณมีชีวิตที่ดี แต่มีคนอิจฉา อันนั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง โดยรวมถ้าคุณไม่มีวันเดือดร้อนจากสิ่งที่คุณทำ(จริง ๆ) ย่อมไม่เรียกว่าทำร้ายตัวเอง
แต่ถ้าสุขนั้นมันไม่แน่.. มันอาจหลอกตัวเองเพียงเพราะอยากได้ “สุข” ชั่วคราวมาทดแทน “สุขแท้” ที่ยังหาไม่เจอ การเป็นเช่นนี้ไม่เพียงไม่เจอครับ สุขชั่วคราวผ่านไป เราก็จะได้ทุกข์วนซ้ำกลับมาเสมอ และพอพ้นทุกข์ ก็อยากหาสุขผิดวิธี วนต่อไป จะเอาเวลาที่ไหนไปเจอสุขแท้.. ด้วยความปรารถนาดี นี่คือบทสรุปที่ผมพบว่า ปัญหาไม่ใช่แค่พ้นทุกข์ แต่เพราะยังหาสุขไม่เป็น..
แค่อย่าลืมว่า ไม่ทุกข์ มันก็สุขแล้ว สิ่งที่ดิ้นรนหาคือสุขหรือทุกข์ที่จะตามมา?
ในคำว่า สุขแท้ ในที่นี้ไม่ได้กล่าวเพื่อให้นึกถึงธรรมะอะไร คล้ายที่บอกตอนต้น ที่มาจากเรื่องการทบทวนหลักสูตร ลองสิครับ เมื่อเราคิดดี ๆ ในยามที่เราไม่ทุกข์ เราก็สุขแล้ว เราไม่ต้องพยายามมีชีวิตที่ดีนักหรอก เพราะส่วนใหญ่ ชีวิตหลายคนนั้น.. ดีมากอยู่แล้วครับ ดีกว่าอีกหลายคน อยู่ที่เรามองเห็นค่ามันหรือเปล่า เพราะหากไม่เห็นค่า เราก็ทิ้งขว้างทำลายมันง่าย ๆ เหมือนของที่แค่อยากได้มา เมื่อได้มาแล้ว ก็รอวันเปลี่ยนวนไป ไม่คิดรักษา ไม่คิดพอใจ เว้นเสียแต่ว่า เข้าใจแท้จริงว่าทุกสิ่งมันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง..
สนับสนุนคุณภาพโดย Pussy888