จริงอยู่ที่ชาวยุโรปนั้นไม่มีวัฒนธรรม เงินสินสอด เหมือนอย่างชาวเอเชีย แต่ในวัฒนธรรมของชาวยุโรปเองก็มีสิ่งที่คล้ายกับ เงินสินสอด ด้วยเช่นกัน ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า เงินสินสอด ในบริบทและความหมายของคนไทยนั้นหมายถึง เงินหรือสิ่งของที่มีการให้แก่กันระหว่างพ่อแม่ของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง แต่ถ้าเป็นทางฝั่งยุโรป เค้ามีคำนิยามอยู่ 2 คำให้กับเรื่องนี้ นั่นก็คือคำว่า Bride price กับ Dowry
โดย Bride price หมายถึง ทรัพย์ที่ฝ่ายชาย ให้กับฝ่ายหญิงในการแต่งงาน คำนี้จึงมีความหมายเหมือนๆกับ สินสอด ในความหมายแบบวัฒนธรรมไทย
ส่วน Dowry หมายถึง ทรัพย์สินที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงมอบให้ลูกสาว หากแปลให้ตรงตัวจริง ๆ จะแปลว่า “สินเดิม” มากกว่า อย่างที่เราทราบกันดีว่า Bride price ไม่มีในวัฒนธรรมยุโรป แต่ในวัฒนธรรมยุโรปนั้นมี Dowry ซึ่งวัฒนธรรม Dowry ของยุโรปนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ นิยมปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในยุคกลาง
เหตุผลที่วัฒนธรรม Dowry รุ่งเรืองในยุคกลาง?
ที่วัฒนธรรมนี้รุ่งเรืองในยุคกลางนั้นเป็นเพราะว่ากฏหมายในยุคกลางของยุโรป ถือว่าทรัพย์สินทั้งหมดในบ้านเป็นของฝ่ายชาย ที่ดิน เครื่องใช้ เสื้อผ้า รวมถึงผลผลิตในไร่นา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นของฝ่ายชายทั้งหมด
เมื่อมีการแต่งงานเกิดขึ้น ฝ่ายหญิงจะต้องเข้าไปอยู่ในบ้านของฝ่ายชาย ซึ่งกฏหมายไม่ได้คุ้มครองฝ่ายหญิงมากมายนัก หากวันใดฝ่ายหญิงทำให้ฝ่ายชายไม่พอใจขึ้นมาอาจถูกกลั่นแกล้ง ทรมาน ให้อยู่อย่างลำบากก็ได้ แน่นอนว่าหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมเต้องห่วงใยลูกอยู่แล้ว นั่นจึงทำให้วัฒนธรรมการให้ทรัพย์สินแก่ลูกสาวที่เรียกว่า Dowry เกิดขึ้น
ซึ่งวัฒนธรรม Dowry นั้นมีตั้งแต่ข้าวของส่วนตัวของฝ่ายหญิง เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ แก้วแหวน เงินทอง รวมถึงข้ารับใช้ และองครักษ์ส่วนตัว นอกจากนี้วัฒนธรรม Dowry ยังมีของหมั้นซึ่งฝ่ายชายได้มอบให้ฝ่ายหญิงด้วย ส่วนใหญ่มักจะเป็นเครื่องประดับต่าง ๆ
ความพิเศษของวัฒนธรรม Dowry คือ ทรัพย์สินส่วนตัวของฝ่ายหญิง ฝ่ายชายไม่มีสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินตรงนี้ เมื่อฝ่ายหญิงตาย Dowry จะตกเป็นของลูกของเธอ โดยที่คนอื่นในบ้านสามี รวมถึงลูกของสามีกับหญิงอื่นจะไม่มีสิทธิใน Dowry
หากเป็นสตรีที่มีฐานะ โดยเฉพาะในตระกูลขุนนาง หรือ เจ้าหญิง Dowry จะมีมูลค่ามากมายมหาศาล โดยใน Dowry นี้ก็จะมีคนรับใช้ และอัศวินส่วนตัวตามไปทำหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยด้วย ในยุคหลัง ๆ จะมีการส่ง Butler หรือ”ผู้จัดการครอบครัว” ไปด้วย
แต่ในปัจจุบันวัฒนธรรม Dowry ไม่ค่อยมีกันแล้ว แต่จะเป็นในลักษณะ พ่อแม่ ให้ทรัพย์สินอย่างบ้าน รถ ที่ดิน หุ้น เงิน แก่ลูก ๆ ที่จะแต่งงาน ซึ่งจะได้ทั้งลูกชายและลูกสาว ไม่จำกัดเฉพาะฝ่ายหญิงเหมือนแต่ก่อน หากบ้านไหนที่หัวโบราณหน่อยก็จะให้พวกเครื่องเรือน เครื่องครัว และเสื้อผ้าต่าง ๆ แก่ลูกสาวของตน
และนี่ก็คือสาระดี ๆ ที่เรานำมาฝากคุณผู้อ่านในวันนี้ จะเห็นได้ว่าการตีความเรื่อง เงินสินสอด ของชาวยุโรปและชาวเอเชียนั้นค่อนข้างที่จะแตกต่างกันอยู่สักหน่อย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความคล้ายคลึงอะไรกันเลย เนื่องจากชาวยุโรปจะนิยมให้เครื่องประดับเป็นของหมั้นแทน เงินสินสอด ส่วนชาวเอเชียจะค่อนข้างควบรวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน