"โรคหัวใจ" เป็นภัยเงียบที่หลายๆคนมีความรู้สึกว่า เป็นเรื่องไกลตัว ยังไม่แก่ ไม่ได้อ้วน ไม่ได้รับประทานอาหารมันๆมาก อื่นๆอีกมากมาย จึงไม่ได้เอาใจใส่ หรือเห็นจุดสำคัญของการตรวจหัวใจ เท่าที่ควร แต่ถ้าเกิดมาดูสถิติดังนี้แล้วคุณอาจจะกลับใจก็เป็นไปได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า ในปี 2558 กลุ่มโรคหัวใจรวมทั้งเส้นเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตชั้น 1 และจากสถิติกันยายน พ.ศ. 2561 กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย ได้เผยตัวเลขผู้ป่วยโรคหัวใจว่ามีมากยิ่งกว่า 430,000 รายต่อปี แล้วก็มีอัตราการตายถึง 20,855 คนต่อปี หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน
เพราะฉะนั้นการตรวจหัวใจก็เลยเป็นอีกหนึ่งในการตรวจร่างกายที่คุณไม่สมควรปล่อยปละละเลย เพื่อคุ้มครองป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
โรคหัวใจ
เป็น ความผิดปกติอะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกับหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นลิ้นหัวใจ เส้นเลือดหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ หรือระบบคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่มีผลต่อการเต้นของชีพจร ซึ่งความผิดปกติกลุ่มนี้ล้วนมีผลต่อการทำงานของหัวใจและก็สุขภาพร่างกาย โน่นก็เนื่องจากว่าหัวใจคือ อวัยวะสำคัญปฏิบัติหน้าที่สูบฉีดเลือดแล้วก็สารอาหารต่างๆไปเลี้ยงอวัยวะทุกๆส่วนของมนุษย์
อาการโรคหัวใจที่สำคัญรวมทั้งพบได้บ่อยเป็นต้นว่า ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจอ่อนกำลัง (Heart Failure) โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน สภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
คนไหนบ้างที่ควรตรวจหัวใจ?
คุณควรรีบไปพบแพทย์ ถ้าหากมีอาการที่บางทีอาจบอกถึงโรคหัวใจต่อไปนี้ เนื่องจากว่ายิ่งตรวจพบและได้รับการดูแลและรักษาเร็วก็จะยิ่งมีผลดีต่อตัวคุณเอง
* เจ็บอกร้าวไปไหล่ซ้าย
* แน่นหน้าอกคล้ายมีอะไรมาทับที่บริเวณทรวงอก
* เสียด หรือแสบร้อนบริเวณอก
* เมื่อยล้า
* อ่อนล้าง่ายดายกว่าปกติ
* เหงื่อแตกมากกว่าปกติ
* ใจสั่น
* หน้ามืด เป็นลมเป็นแล้ง
* เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่งเมื่อออกกำลังกาย
ส่วนคนที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงโรคหัวใจดังนี้ ก็ควรเข้ารับการตรวจสมรรถนะหัวใจด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายชนิดร่วมกัน
* อายุมาก
* ผู้ชายจะมีความเสี่ยงของโรคหัวใจมากยิ่งกว่าสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือน
* สูบบุหรี่จัด
* ติดเหล้า หรือมีความประพฤติเป็นพวกชอบดื่ม
* มีระดับไขมันในเลือดสูง
* เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับโรคเส้นโลหิต
* มีคนภายในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ หรืออัมพาต
* ขาดการบริหารร่างกาย
* อ้วน
โดยเหตุนี้คุณควรจะตรวจสุขภาพบ่อยๆเพื่อช่วยระวังโรคร้ายและก็ความเสี่ยงจากโรคอื่นๆที่ตามมาพร้อมปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ถ้าหากตรวจพบว่า มีความเสี่ยงโรคหัวใจดังข้างต้น หมอจะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติการใช้ชีวิตเพื่อลดการเสี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคหัวใจ อย่างเช่น ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ เน้นผักผลไม้ ลดอาหารที่มีไขมันรวมทั้งคอเลสเตอรอล ออกกำลังกายบ่อยๆ และชี้แนะให้มาตรวจเช็กการเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ
การตรวจหัวใจ มีวิธีการตรวจเช่นไร?
เมื่อไปพบแพทย์เพื่อตรวจหัวใจ หมอจะซักประวัติสุขภาพและความประพฤติการใช้ชีวิต ประวัติไม่สบายของคนในครอบครัว น้ำหนัก ความสูง เพื่อประเมินว่า มีภาวะน้ำหนักเกินหรือไม่ และก็วัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดความดันเลือด และฟังเสียงหัวใจว่า มีความผิดปกติหรือเปล่า หลังจากนั้นขั้นตอนต่อไปเป็นการตรวจเพิ่มเติมอีก อย่างเช่น
การตรวจหัวใจแบบพื้นฐาน
* ตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ วิธีนี้สามารถบอกจังหวะการเต้นหัวใจที่ผิดปกติและก็วินิจฉัยโรคเยื่อห่อหุ้มหัวใจบางประเภท หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย แต่ว่าก็มีผลคลาดเคลื่อนได้
* เอกซเรย์ปอด จะช่วยให้มองเห็นปอด หลอดเลือดแดง และก็การกระจายของเส้นเลือดในปอด สภาวะน้ำหลากปอด สภาวะหัวใจล้มเหลว แล้วก็เงาของหัวใจข้างหลังปอด รวมทั้งบอกขนาดหัวใจได้ดีพอเหมาะพอควร
* ตรวจเลือด เป็นการตรวจหาสารต่างๆในเลือด เพื่อมองว่า มีโรค หรือภาวะสุขภาพที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้กำเนิดโรคหัวใจ ไหม อย่างเช่น โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ฯลฯ
การตรวจหัวใจแบบพิเศษ
* อัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram หรือ ECHO) การตรวจหัวใจวิธีนี้จะใช้คลื่นเสียงความถี่สูงแต่มีความปลอดภัย เข้าไปยังรอบๆทรวงอก และก็รับเสียงที่สะท้อนออกมา แล้วนำข้อมูลที่สะท้อนกลับมาไปแปลเป็นภาพบ่งบอกถึงรูปร่าง ขนาด การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ แล้วก็ลิ้นหัวใจของผู้ป่วย สามารถบอกถึงความผิดปกติ ความร้ายแรงของโรค และช่วยสำหรับการติดตามผลของการรักษาได้ แต่ว่ามีข้อเสียคือ จะมองไม่เห็นเส้นโลหิตหัวใจโดยตรง แม้ผู้ป่วยอ้วน หรือผอมมากไป หรือมีถุงลมโป่งพอง ก็อาจจะส่งผลให้ได้ภาพที่คลุมเครือ
* การเดินสายพาน (Exercise stress test หรือ EST) เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะบริหารร่างกายด้วยการเดินสายพาน หรือปั่นจักรยาน หมอจะให้ท่านเดินสายพานที่เคลื่อนไปเรื่อยๆหรือขี่จักรยานเพื่อหัวใจเต้นแรงขึ้น ในขณะที่ต่อขั้วสายนำกระแสไฟฟ้ารอบๆทรวงอก 10 สายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ ถ้าหากมีเส้นเลือดหัวใจตีบ เลือดก็จะไม่สามารถมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ ทำให้มีลักษณะแน่นหน้าอก หายใจติดขัด อัตราเต้นของหัวใจผิดปกติ มีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นกระแสไฟฟ้าให้มองเห็นนั่นเอง
* การตรวจหัวใจด้วยเตียงปรับระดับ (Tilt table test) ทำโดยให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงที่ที่ปรับระดับองศาของเตียงได้ แล้วต่อจากนั้นแพทย์จะประเมินชีพจร ความดันโลหิต ลักษณะคลื่นกระแสไฟฟ้าหัวใจ และก็อาการอื่นๆของผู้ป่วยในขณะที่เตียงมีการแปลงระดับ วิธีการแบบนี้มักใช้เพื่อสำหรับในการตรวจผู้ป่วยที่เป็นลม หรือสลบโดยไม่รู้สาเหตุ รวมทั้งเป็นลมเสมอๆหรือเป็นลมเป็นแล้งง่าย ดังเช่นว่า เห็นเลือดแล้วเป็นลมเป็นแล้ง เปลี่ยนแปลงท่าแล้วเป็นลมเป็นแล้ง ซึ่งอาจมีปัจจัยมาจากปัญหาด้านสมอง หรือหัวใจก็ได้
* การบันทึกคลื่นหัวใจไฟฟ้า (Holter monitoring) หมอจะเดินเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจไว้กับตัวผู้เจ็บไข้ราว 24-48 ชั่วโมง โดยผู้ป่วยสามารถกลับไปบ้านและก็ทำกิจกรรมได้ตามเดิม เมื่อถึงกำหนดเวลาจึงกลับมาโรงพยาบาลเพื่อถอดเครื่องออกแล้วก็รอคอยผลตรวจวิเคราะห์ วิธีนี้เหมาะสมกับผู้ที่มีลักษณะใจสั่นผิดปกติเป็นบางครั้งบางคราว เวียนหัวศีรษะ คล้ายจะเป็นลมเป็นแล้ง แล้วก็หัวใจเต้นแรงผิดปกติเป็นประจำ
* การตรวจระบบไฟฟ้าในหัวใจ (Electrophysiological studies) เป็นการตรวจโดยใส่สายสวนหัวใจขนาดเล็กเข้าไปตามเส้นเลือดดำรอบๆขาหนีบ หรือใต้ไหปลาร้า เพื่อนำไปยังตำแหน่งต่างๆด้านในหัวใจ ซึ่งจะช่วยสำหรับเพื่อการบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วก็ดูว่า มีไฟฟ้าลัดวงจรเกิดขึ้นในหัวใจ ไหม รวมถึงสามารถส่งกระแสไฟฟ้าน้อยๆไปกระตุ้นให้มีอาการปรากฏชัดเจนเพิ่มขึ้น ทำให้หมอพินิจพิจารณาความผิดปกติได้ละเอียดมากกว่าการบันทึกคลื่นหัวใจไฟฟ้า
* การสวนหัวใจ (Cardiac catheterization) แล้วก็การฉีดสี (Coronary angiography) คือการใช้สายสวนขนาดเล็กใส่เข้าไปจากรอบๆขาหนีบ ข้อพับแขน หรือข้อมือตามแนวเส้นโลหิตแดงจนถึงรูเปิดของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ แล้วก็ใช้สารละลายทึบรังสีฉีดเข้าไปทางสายสวนด้วย เพื่อเห็นการตีบแคบของเส้นโลหิตอย่างเห็นได้ชัด วิธีแบบนี้จะช่วยวินิจฉัยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบได้อย่างเที่ยงตรง รวมทั้งใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่ 24 ชั่วโมงก็สามารถกลับบ้านได้ โดยจะไม่มีการใช้ยาสลบ ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่แค่นั้น
ตรวจหัวใจ มีผลใกล้กันไหม?
การตรวจหัวใจด้วยวิธีสวนหัวใจและก็ฉีดสารละลายทึบรังสี ได้โอกาสก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ แต่ก็พบได้น้อยมาก เป็นต้นว่า อาจก่อให้มีเลือดออกตำแหน่งที่แทงเข็ม แล้วก็บางคนมีลักษณะแพ้สีแบบไม่ร้ายแรง ส่วนผลแทรกซ้อนที่ร้ายแรงนั้นเจอได้น้อยกว่า 1% เท่านั้น เช่น อัมพาต แพ้สีร้ายแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง และบางทีอาจถึงกับตาย แต่เมื่อประเมินข้อดีข้อบกพร่องแล้ว คุณประโยชน์ที่กำลังจะได้จากการตรวจนั้นมักมีมากกว่าขึ้นอยู่กับต้นเหตุด้านอายุรวมทั้งสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละราย
โรคหัวใจยิ่งตรวจเจอเร็วเยอะแค่ไหนก็ยิ่งเป็นผลดีต่อการดูแลและรักษาแค่นั้น การหมั่นสังเกตอาการผิดปกติรวมทั้งรับการตรวจอย่างทันทีทันควันถือว่า สำคัญอย่างมาก หากคุณเป็นกังวล หรือไม่แน่ใจว่า ตนเองมีลักษณะอาการของโรคหัวใจหรือเปล่า ไม่สมควรนิ่งนอนใจ ควรไปพบหมอเพื่อปรึกษาแล้วก็ตรวจวินิจฉัยอย่างแม่นยำจะดีที่สุด
https://www.honestdocs.co/heart-check
Tags : หลอดเลือด, ความดันโลหิต